การพบกันครั้งแรกของ ‘มาย-ภาคภูมิ ร่มไทรทอง’ และ Franck Muller ในนิตยสาร ELLE MEN ประเทศไทย ร่วมถ่ายทอดโปรเจกต์พิเศษเพื่อเผยโฉมนาฬิกาคอลเล็กชั่น Vanguard Beach สำหรับผู้ที่หลงใหลในสีสันและความมีชีวิตชีวาแห่งชายหาด พร้อมแง้มเบื้องหลังของความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ในฐานะนักแสดงชายไทยสองคนแรกที่อยู่ในลิสต์ BoF 500 Class of 2023 ผู้ทรงอิทธิพลและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมแฟชั่นในปัจจุบันประจำปี 2023 ร่วมกับพาร์ตเนอร์คนสำคัญ อาโป-ณัฐวิญญ์ วัฒนกิติพัฒน์…ไม่ง่ายเลยกับปรากฎการณ์ครั้งนี้ที่ทำให้แฟชั่นระดับโกลบอลหันมาให้ความสนใจและเริ่มพูดถึง ‘คนไทย’ อย่างไม่ขาดปาก
EM: อัปเดตชีวิตและผลงานที่อยากจะฝาก?
MP: ตอนนี้เป็นนักแสดงของ Be On Cloud ครับ ส่วนสิ่งที่สนใจตอนนี้อยากให้เวลากับเรื่องดนตรีเยอะขึ้น คือที่ผ่านมาแฟน ๆ อาจจะเห็นผมเล่นดนตรีบ้าง แล้วก็ทำเพลงได้ประมาณหนึ่ง แต่มันห่างหายมานาน 5-6 ปีแล้ว ก็เลยอยากจะรื้อฟื้นครับ เพราะมันเป็นสิ่งที่เรารักที่สุด ดนตรีมันมีเสน่ห์ครับ ดนตรีเป็นเพื่อน เวลามีความสุขก็อยู่กับเราได้ เวลาเรามีความทุกข์ก็อยู่กับเราได้ แต่ที่สำคัญที่สุด ดนตรีทำให้เราแคปเจอร์โมเมนต์ต่าง ๆ ได้ นี่คือความเจ๋งของดนตรีเลยครับ สมมติว่าเราฟังเพลงอะไรสักอย่าง แล้วเราอาจจะนึกถึงใครบางคน นึกถึงช่วงเวลาบางช่วงของชีวิต ซึ่งมันเป็นสิ่งที่หาได้ยาก มัน nostalgia มันบันทึกคนบางคน หรือบางช่วงเวลาผ่านเพลงได้ ซึ่งแต่ละคนก็มีความทรงจำที่ต่างกันครับ
EM: เล่าบรรยากาศและความประทับใจที่ได้ไปงานประกาศรางวัล BoF?
MP: เป็นบรรยากาศที่ทุกอย่างมันเร็วไปหมด แล้วช่วงเวลาที่เราอยู่ไม่ได้ยาวมาก แค่ 3 ชั่วโมงเอง ถือว่าน้อยทีเดียวกับการไปงานกาลาที่คนเยอะแบบนี้ ทีแรกตื่นเต้นนะครับก่อนที่จะไป คือผมไม่ได้มีภาพในหัวด้วย ผมชอบเป็นแบบนี้ ชอบท้าทายให้ตัวเองไปเจอเอาข้างหน้า คือเราเตรียมตัวไปนะ แต่เราจะไม่สร้างภาพในหัวว่าเราไปแล้วจะต้อง 1 2 3 4 มันเป็นเทคนิคของแต่ละคนในการจัดการความตื่นเต้น ซึ่งเราก็ไปเอนจอยตรงนั้นแหละ คืนนั้นเป็นคืนที่สนุกมาก คือบางคนเขาอาจจะแพลนไปก่อนว่าต้องทำ 1 2 3 4 แต่ในวันนั้นผมไม่ได้คิดอะไรเลย พอถึงหน้างานก็ค่อยว่ากัน ปล่อยไหล มันก็เลยสนุก แล้วก็ได้ไปเจอบุคคลที่ผมไม่ได้ expect ว่าจะเจอ แต่ว่าผมชอบเขามาก นั่นคือ Jared Leto เขา nice มากครับ เขาเป็นคนน่ารัก แล้วก็เจออีกหลายคนเลย
EM: รู้สึกอย่างไรที่ได้เป็นนักแสดงชายไทยสองคนแรกที่อยู่ในรายชื่อ BoF 500 Class of 2023?
MP: ดีใจตั้งแต่รู้ว่าได้เป็น BoF แล้ว พอเรารู้รายละเอียดว่าเป็นสองคน เป็นคู่ด้วย เราก็เลยรู้สึกว่าจริง ๆ แล้วเขาก็คงเห็นถึงตัวผลงานหรือวิธีการทำงานต่าง ๆ ที่ผมกับอาโปพรีเซนต์ไป ที่สำคัญคือผมดีใจที่ทีมเรา ‘Be On Cloud’ ได้เติบโตไปถึงระดับโลก ความรู้สึกที่มากที่สุดของผมคงไม่ใช่เป็นเรื่องเคสบายเคสว่างานนี้ผมรู้สึกยังไงหรอก เวลาผมก้าวต่อไปเรื่อย ๆ กับทีม มันรู้สึกถึงภาพใหญ่ รู้สึกว่า เออ เราโตไปด้วยกัน step by step นะ วันหนึ่งที่เราไม่อยู่แล้วคนอื่น ๆ ในทีมเขาก็สามารถโตขึ้นได้ ถ้าให้พูดตามตรง ผม appreciate มากกับการได้เป็น 1 ใน 500 ของ BoF แต่จะไม่ได้ตื่นเต้นจนแบบโม้เรื่องนี้ตลอดเวลา เพราะหนทางข้างหน้ามันก็มีอะไรอีกเยอะ แต่ก็ต้องขอบคุณทุกคนที่เกี่ยวข้องมากครับที่ทำให้ประสบการณ์เรื่องแฟชั่นมันเปลี่ยนไปเลย เป็นประสบการณ์ที่เราไม่รู้จะหาจากไหน พูดเลยว่าขนลุก แล้วการที่เข้าไปตรงนั้นมันเป็นเหมือนประตูที่จะเปิดออกแล้วเดินไปต่อเรื่อย ๆ สิ่งที่ดีใจที่สุดอย่างหนึ่งนอกจากเรื่องทีมแล้วก็คือเรื่องที่เราได้ทำให้คนทั่วโลกรู้จักคำว่า ‘ไทย’ ที่นอกเหนือจากคำว่า ช้างกูอยู่ไหน! หรือ ต้มยำกุ้ง! ครับ
EM: การได้ world tour ให้อะไรกับมาย และทัวร์ครั้งไหนที่ประทับใจที่สุด?
MP: ให้ประสบการณ์ที่เงินซื้อไม่ได้เหมือนกัน คือในแบบแฟชั่นที่เราพูดมาก่อนหน้านี้ มันก็จะเป็นอีกโลกหนึ่งเลยกับการไปเล่นคอนเสิร์ต การไปเวิลด์ทัวร์มันเห็นแฟนคลับแต่ละที่ energy คนแต่ละท้องที่ไม่เหมือนกัน ให้เราได้เจอแฟนคลับในระยะประชิดในหลากหลายประเทศ ซึ่งมันยากนะครับที่จะได้เจอพวกเขาเหล่านี้ ตอบไม่ได้เลยว่าชอบครั้งไหนที่สุด ไม่ได้ตอบแบบดารานะ แต่ตอบไม่ได้จริง ๆ (หัวเราะ) เพราะเอเนอร์จี้มันต่างกัน บางที่มีปัญหาเยอะ แต่ผมกลับชอบมาก บางที่ไม่ได้มีปัญหาเลย ผมก็จะไป appreciate เรื่องอื่นแทน บางที่ไปแล้วมีปัญหาในการเซ็ตโชว์ เวลาที่ผมเล่นดนตรีเนี่ย เรื่องไฟ เรื่องเสียง มันเกิดขึ้นได้ บางทีเราก็ไปช่วยแก้เรื่องเทคนิค แต่เราก็ประทับใจ เพราะทำให้เรารู้ว่าจริง ๆ แล้ว error มันเกิดขึ้นได้ตลอด ต่อให้เป็นเวทีที่ใหญ่มากที่มีทีมงานที่แข็งแรง มันก็ไม่มีอะไรแน่นอนเลยครับ
EM: ถ้าต้องเลือกซื้อนาฬิกาสักเรือน มีวิธีเลือกแบบไหน?
MP: อย่างแรกเราต้องเห็นแล้วว่า ‘เป็นรักแรกพบ’ ในความรู้สึกเราก่อน คือไม่ว่าของอะไรก็ตาม แต่ถ้าผมรักมันอยู่ก็จะไม่ขาย เพราะมีความผูกพันบางอย่าง คืออาจจะแล้วแต่คนนะครับ แต่ผมเลือกนาฬิกาด้วยความรู้สึก ดูจะเจ้าชู้หน่อยเพราะนาฬิกาเยอะ (ยิ้ม) แต่ที่สำคัญคือพอเรารู้สึกแล้ว สุดท้ายมันจะเป็นนาฬิกาที่หายาก แรร์ คำว่า ‘แรร์’ เนี่ยคือจุดอ่อนของผมเลย บางอันผมชอบมากแต่มันไม่แรร์ ผมก็จะถอยกลับมาครับ
EM: มีวิธีจัดการตัวเองอย่างไรเวลาที่อะไร ๆ ในชีวิตมันรุงรังไปเสียหมด หรืออะไร ๆ ก็ไม่ได้ดั่งใจ?
MP: เอาจริง ๆ เลยผมจะบำบัดอารมณ์ด้วยการช็อปปิ้ง เล่นดนตรี ออกกำลังกาย หรือทำอะไรก็ได้ที่รู้สึกสบายใจ ทำอะไรก็ได้ที่มันเปลี่ยนจากสิ่งที่เรากำลังทุกข์ใจอยู่ เปลี่ยนความสนใจ เปลี่ยนบรรยากาศ หรือเอาตัวเองออกมาจากตรงนั้นไปเลย แล้วสักพักเราจะมี overlap ความคิดขึ้นมา แล้วเราค่อยมาจัดการกับความคิดที่มันตกตะกอนตรงนั้น เหมือนเราถอยออกมาก้าวหนึ่งเพื่อมองปัญหาครับ
EM: ชอบตัวเองในช่วงอายุไหนมากที่สุด 10, 20 หรือเริ่มแตะเลข 3?
MP: ผมว่าช่วงเลข 2 กว่า ๆ เป็นช่วงที่ได้ทดลองทุกอย่างที่อยากทำ ช่วงเลข 2 เป็นช่วงที่ตามใจตัวเอง เลอะเทอะไปหมด แต่มันเป็นช่วงที่เราได้เรียนรู้เยอะมาก เยอะมากจริง ๆ แล้วเราก็ไม่มีความจำเป็นต้องรับผิดชอบสิ่งต่าง ๆ หรือผลที่มันเกิดขึ้น ถ้าอะไรที่ทำแล้วไม่กระทบใครเราก็ลองได้หมดเลย ดังนั้นมันก็ไม่ต้องระวังมาก แต่ก็ไม่แน่นะครับ ผมอาจจะตอบช่วงเลข 3 ก็ได้ถ้าผ่านจากนี้ไป 10 ปี เพราะผมก็เพิ่งเข้าเลข 3 ได้ไม่นาน
EM: คิดว่าต่อไปในอนาคต อยากลงทุนกับสิ่งไหนเพื่อให้ value ตัวเอง?
MP: อย่างแรกเลยคือความรู้ครับ แต่ถ้าเป็นการลงทุนที่เกี่ยวกับตัวเองก็อยากจะลงทุนเกี่ยวกับเรื่องอสังหาฯ ผมว่าอสังหาฯ มี potential สูงสุด
EM: ตอนนี้สปอตไลต์ส่องมาที่มายอย่างเจิดจ้า เตรียมรับมืออย่างไรเมื่อวันหนึ่งแสงจะไม่ได้ส่องมาที่ตัวเราแล้ว?
MP: ก็ดีนะ ได้เปลี่ยนบรรยากาศไป (ยิ้มแบบปล่อยวาง) คือสิ่งที่ผมได้เรียนรู้ช่วงที่ผมมีปัญหามาก ๆ ก็ช่วงอายุ 20 นั่นแหละ ช่วงนั้นมันได้ทดลองอะไรเยอะ เพราะมีปัญหาเยอะครับ ทั้งที่เราก่อและไม่ได้ก่อ มันทำให้เราเรียนรู้อย่างหนึ่งซึ่งเป็นสิ่งสำคัญเลยคือ ชีวิตที่ไม่แน่นอน ไม่ว่ากับเราหรือกับใคร เพราะฉะนั้นถ้าเราทำอะไรก็ตามแล้ววันหนึ่งมันเปลี่ยนไป มันก็เป็นธรรมชาติของโลกใบนี้ มันต้องเกิดและดับอยู่แล้ว พอเราเข้าใจคอนเซปต์นี้ปุ๊บ เวลาที่สิ่งต่าง ๆ มันแย่ลงเราก็จัดการตัวเองได้
EM: คิดว่า Franck Muller กับมายมีความเหมือนหรือเชื่อมโยงกันอย่างไร?
MP: ผมว่า Franck Muller เป็นเหมือน pop culture ประมาณหนึ่งเลยครับ เพราะเขามี sign ที่ใส่ความเฮอริเทจในเรื่องของตัวเลข แต่ว่ายังใส่ความคอนเทมโพรารีเข้าไป คือถ้าเห็นแล้วเราจะรู้สึกว่านาฬิกานี้โดดเด่นจัง ยกตัวอย่างรุ่น Vanguard Beach ที่ผมใส่อยู่นี้ เด่นมาก ด้วยสีสัน ความ pop culture มันอยู่ในคาแรกเตอร์ ในยีนของ Franck Muller ซึ่งผมเองก็ชอบความวินเทจมาก เราชอบอะไรอย่างงั้น แต่โลกมันทำให้เราต้องมีฟังก์ชั่นแบบโมเดิร์น เรายังต้องตัดผมหรือใส่เสื้อผ้าแบบโมเดิร์น มันเป็นการผสมผสานตามยุคสมัย ซึ่งจุดเชื่อมโยงของผมกับ Franck Muller คงเป็นเรื่องของการปรับตัวตามยุคสมัยตลอดเวลาครับ
EM: ความรู้สึกในการร่วมงานกับ Franck Muller และ ELLE MEN ในครั้งนี้?
MP: ดีใจมากครับ คือผมชอบนาฬิกามาก แล้วผมก็รู้สึกว่าการได้ถ่ายแบบกับนาฬิกามันเป็นอะไรที่เราก็อยากทำมานานแล้ว ซึ่ง Franck Muller เราก็รู้จักและสนใจอยู่แล้ว เพราะเป็นนาฬิกาที่มีคาแรกเตอร์ มีความยูนีค ซึ่งแฮปปี้ ยิ่งเห็นคอลเลกชั่นนี้ยิ่งแบบ อู้ว คือมัน outstanding มาก
EM: ทำไมแฟนคลับถึงรักมายได้ขนาดนี้?
MP: ผมว่าผมไม่ได้ไกลจากความเป็นตัวของตัวเองสักเท่าไหร่ มันเป็นไปไม่ได้หรอกครับที่เราจะเป็นตัวของตัวเอง 100% ไม่ว่าจะอยู่ในวงการไหน แต่เราควรซื่อสัตย์กับสิ่งที่เรารู้สึกมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทั้งหลังจอและหน้าจอ แล้วผมว่าผมเป็นคนที่อาจจะเห็นอกเห็นใจ คือทำความเข้าใจผู้คน รวมถึงทำความเข้าใจตัวเองด้วย ผมว่าพลังงานตรงนี้มันน่าจะเห็นเวลาแฟนคลับมองเข้ามา ผมก็แค่เป็นตัวเราในแบบที่รู้กาลเทศะเท่านั้นเองครับ
EM: สิ่งที่อยากฝากถึงแฟนคลับ?
MP: ก็ยังรู้สึกอยากจะขอบคุณ เพราะผมไม่แน่ใจว่าทุกครั้งที่เราขอบคุณ ทุกคนได้รับสารนั้นครบหรือเปล่า เพราะว่าแฟนคลับไม่ได้อยู่แค่ในไทย ไม่ได้อยู่แค่ในเอเชีย มีอเมริกาใต้ มีเอเชียกลาง อุซเบกิสถาน คาซัคสถานก็เยอะครับ เพราะเทรนด์ของเอชียขยายไปตรงนั้นเยอะด้วย ดังนั้นความหมายคือมีทั่วโลก เราก็เลยอยากขอบคุณใครที่มาอ่านถึงตรงนี้ เขาปฏิบัติต่อเรามาตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้น่ารักเหมือนเดิม 99% ขอบคุณที่น่ารักซึ่งกันและกัน เขาเป็นส่วนหนึ่งของความสุขของเรา เราก็ยินดีและดีใจที่เป็นส่วนหนึ่งของความสุขของเขา ดังนั้นก็ยังรู้สึกขอบคุณตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ครับ (ยิ้มกว้าง)
Credit:
Photographer: Wasu Sukatocharoenkul
Fashion Editor: Ratchakrit Chalermsan
Hair: Pinyo litaisong
Makeup: Atimate Ariyakornanun