พูดคุยกับเจ้าของฉายา ‘กวินทร์บินได้’ ถึงการ Push Limit ของ ตอง-กวินทร์ ผู้รักษาประตูทีมชาติไทย

เมื่อครั้งที่แอลเมนจับเข่านั่งคุยกับตอง- กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ ผู้รักษาประตูทีมชาติไทย เจ้าของฉายา ‘กวินทร์บินได้’ ที่กว่าจะมีวันนี้ได้ไม่ใช่เพราะโชคช่วย แต่คือความทุ่มเทและความทะเยอทะยานของชายผู้ต้องการจะเป็นคนที่เก่งที่สุดอย่างแท้จริง

ELLE MEN: Timeline ในสายอาชีพฟุตบอล?

Tong: ตอนนี้ผมสังกัดสโมสรเมืองทองยูไนเต็ด เป็นทั้งโค้ชและผู้เล่นครับ อยู่เมืองทองมาตั้งแต่อายุสิบแปดเลย แต่สังกัดแรกเลยคือสโมสรราชประชา เป็นสโมสรเก่าแก่ที่เมื่อก่อนดังมาก ๆ ผมอยู่ที่นั่นหนึ่งปี หลังคว้าแชมป์จากราชประชาเสร็จ เมืองทองก็ซื้อตัวมาครับตอนนั้นปี 2008 มาปีแรกก็คว้าแชมป์ 3 แชมป์ติดต่อกันเลย ทีมชาติหนึ่ง ไทยลีกสองปีซ้อน แล้วก็เล่นยาวมาตลอด ตั้งแต่ 2008 – 2017 พอ 2018 ก็ย้ายไปเล่นที่เบลเยียม สโมสรชื่อว่า OH Leuven อยู่ที่นั่นสามปีก่อน แล้วถึงย้ายไปญี่ปุ่นหนึ่งปีที่ซัปโปโรครับ

ELLE MEN: ทำไมถึงมีแพสชั่นกับกีฬาฟุตบอล อะไรที่พาให้มาเป็นผู้รักษาประตู? 

Tong: ครอบครัวฝ่ายแม่เป็นนักกีฬาซะส่วนใหญ่เลยครับ ตาเป็นนักตะกร้อ ลุงกับอาเตะบอล ตอนเด็ก ๆ เลยได้มีโอกาสตามญาติ ๆ ไปสนามฟุตบอล ตอนแรกเราก็ไปวิ่งเล่นอยู่ข้าง ๆ สนามก่อน สักพักหนึ่งเราก็เข้าไปวิ่งเล่นกับเขาบ้าง พอทำบ่อย ๆ มันก็รู้สึกเป็นความรัก เป็นความหลงใหลขึ้นมา เป็นกิจกรรมตอนเด็กที่เราทำแล้วมันรู้สึกสนุกแทบจะทุกวันเลยครับ ไปโรงเรียนก็เตะฟุตบอลเล่นกับเพื่อน กลับมาก็เตะหน้าบ้านที่ตลาดนัด เสาร์อาทิตย์ก็ไปเจอญาติ เราเลยรู้สึกรักกีฬานี้จริง ๆ แต่ว่ามันก็เหมือนจะมีจุดเปลี่ยนตรงที่ว่า ตอนนั้นเตะฟุตบอลกับญาติอยู่กันสองคน มันเป็นจังหวะที่ผลัดกันยิง ผลัดกันรับ ผลัดกันเป็นผู้รักษาประตู แต่จังหวะที่ผมเข้าไปเป็นผู้รักษาประตูเนี่ย ญาติผมคนนั้นยิงลอดขาผม แล้วผมหันกลับไปรับทัน บอลเลยไม่เข้าประตู เขาก็เลย “เห้ย ดูมีแวว ลองไปเป็นประตูดูมั้ย” กลับบ้านไปเจอญาติกับแม่ ก็เล่าให้เขาฟัง เขาก็ตลกกัน ซึ่งจริง ๆ แล้วตอนนั้นผมไม่รู้หรอกว่าผู้รักษาประตูมันเป็นยังไง แล้วเราชอบจริง ๆ หรือเปล่า วันรุ่งขึ้นตื่นเช้ามายืนหน้ากระจก แล้วนึกว่าผู้รักษาประตูต้องใส่อะไรบ้าง ผมก็ใส่แขนยาว เอากางเกง เอาถุงเท้า เอารองเท้าผ้าใบมาใส่แล้วก็ยืนหน้ากระจก แต่ไม่มีถุงมือ หน้าบ้านมีตลาดนัดก็เลยวิ่งออกไปซื้อถุงมือมอเตอร์ไซค์มาหนึ่งคู่ แล้วก็วิ่งกลับมายืนดูหน้ากระจก ใส่แล้วขยับ ๆ มันก็ดูเท่อยู่ อะ เป็นผู้รักษาประตูก็ได้ จุดนั้นคือทำให้ผมตัดสินใจเลือกเล่นเป็นผู้รักษาประตูนับตั้งแต่นั้นมาครับ

ELLE MEN: การแข่งขันครั้งไหนที่ประทับใจที่สุด?

Tong: จริง ๆ แล้วไม่มีเลยครับ มันจะมีแมตช์ประทับใจหรือผลการแข่งขันที่เรารู้สึกประทับใจในแต่ละช่วงอายุอยู่แล้ว ซึ่งถ้าจะให้เลือกสักอย่างหนึ่ง มันคงยากมาก ๆ ถ้าเป็นของวัยนักเรียนก็คงจะเป็นการคว้าแชมป์บอลนักเรียน การที่เราเอาแชมป์กลับไปโรงเรียนได้มันก็เป็นความสุข ณ ตอนนั้นที่เราเป็นเด็กแล้วครับ การที่เราสามารถลงสนามแล้วทำผลงานได้ดี ทำให้เพื่อนร่วมทีมชนะได้ ทำให้แฟนบอลแฮปปี้กลับบ้านไปได้ ไม่ว่าแมตช์ไหนก็แล้วแต่ ผมมองว่าทุกแมตช์เป็นแมตช์ที่ประทับใจหมดเลย อย่างแมตช์แรกในฐานะทีมชาติก็จะเป็นตอนอุ่นเครื่องกับสโมสร Liverpool ซึ่งเป็นการลงไปเตะทีมชาติชุดใหญ่ครั้งแรก เพราะที่ผ่านมาคือเตะเยาวชนมาตลอด พอมาเป็นชุดใหญ่ก็กลายเป็นที่หนึ่งของประเทศแล้ว ตอนนั้นผมยังเป็นเด็กที่เข้าไปใหม่แล้วถูกเปลี่ยนตัวลงไปช่วงครึ่งหลัง แต้มเสมอกันอยู่หนึ่งต่อหนึ่ง ก็นึกในใจ ถ้าผมลงไปแล้วทีมไทยแพ้เนี่ย มันจะเป็นยังไงนะ พอเข้าสนามเท่านั้นแหละ หางตาผมเห็นแล้ว โห นั่น ตอเรส… โน่นก็ เปเป เรนา… คือแต่ละคนนี่แบบสุดยอดเลย เป็นแมตช์แรกที่ขาสั่นที่สุดในชีวิต แต่สุดท้ายก็ผ่านมันมาได้ครับ

ELLE MEN: คิดว่าประสบความสำเร็จในอาชีพนี้เเล้วหรือยัง? 

Tong: เเต่ก่อนเราอาจคิดว่าการประสบความสำเร็จคือการได้เล่นทีมดีๆ การมีชื่อลงเเข่ง การได้เเชมป์ การเป็นกระเเสนิยม การได้ไปเล่นที่ต่างประเทศ ด้วยระยะเวลาที่เติบโตขึ้น ผมมองว่าความสำเร็จเกิดขึ้นในชีวิตประจำวันได้ทุกช่วงเวลาของชีวิตที่เราพยายามทำอะไรสักอย่างให้มันดีที่สุด เช่นการที่ผมกระตุ้นเด็กเวลาสอนฟุตบอลเเล้วผมเห็นประกายตาความมุ่งมั่นที่เขามองผม  นั่นคือความชุ่มชื่นหัวใจของผม  หรือการที่มีผู้ปกครองมาบอกว่า หลังจากที่ลูกเขาเจอผม ลูกมีความมั่นใจขึ้นอย่างชัดเจนจนพ่อเเม่สังเกตได้ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้ผมยิ้มในใจ ..ถ้านี่ไม่ใช่ความสำเร็จ เเล้วอะไรบนโลกนี้จะเป็นความสำเร็จได้อีกล่ะครับ

ELLE MEN: นอกเหนือจากกีฬา มีความสนใจอย่างอื่นไหม? 

Tong: จริง ๆ ผมค่อนข้างใช้เวลาอุทิศให้กับงานฟุตบอล ทั้งหน้าที่ผู้เล่นเเละหน้าที่โค้ช ทั้งโค้ชสโมสร เเละโค้ช Kawin Academy ที่ผมสร้าง เมื่อไรที่ผมว่าง…ซึ่งก็ไม่ค่อย (หัวเราะ) ผมจะทำสิ่งที่ผมรักอีกอย่างคือร้องเพลงเเละดีดกีตาร์ครับ มันช่วยเหมือนเป็น charger ให้ผมผ่อนคลาย เเละมีพลังกลับมาสร้างงานได้อย่างเต็มที่ อีกอย่างคือถ่ายภาพครับ ตอนอยู่ต่างประเทศถ่ายเยอะมาก จะชอบถ่ายเเนวสตรีท เพราะมันคือความเป็นธรรมชาติ สบาย ๆ ไม่ต้องจัดฉากให้สวย มันมีเสน่ห์ในวิถีทางของมันเอง

ELLE MEN: โค้ชหรือนักกีฬาที่คุณคิดว่าเป็นแบบอย่าง?

Tong: ผู้รักษาประตูและกัปตันทีมชาติเยอรมัน Oliver Kahn ครับ พอได้เห็นเขาเล่น ผมก็ชอบคาแรกเตอร์เขาในสนาม เขามีความดุดัน มีความเป็นผู้นำ ผมรู้สึกว่าเขาไม่กลัวใคร ดูเขามีอิทธิพลต่อทีมมาก ไม่ว่าจะเป็นในทีมตัวเองหรือว่าทีมคู่แข่งเวลาต้องเผชิญหน้ากับเขา ผมมองว่าตรงนี้แหละที่ผมอยากจะมีคาแรกเตอร์แบบนี้

ELLE MEN: แล้วคิดว่าต่อจากนี้จะ Push Limit ตัวเองให้ไปต่อในสายกีฬาได้ถึงจุดไหน?

Tong: เวลากว่า 15 ปีเเล้วที่ตัวผมอยู่ในเส้นทางฟุตบอลอาชีพนี้ ผมผ่านทุกอย่างมาเเละได้พิสูจน์ตัวเองเต็มที่เเล้ว เเต่ต่อไปเราทุกคนไม่ว่าใครก็ต้องยอมรับว่า เราในบทบาทเป็นนักกีฬาสักวันก็ต้องหยุดเล่น เพราะมันเป็นสัจธรรม เเต่สิ่งที่จะ push limit ได้คือ ประสบการณ์ ความคิดเเละความรู้ที่ตกผลึก ที่จะทำให้เราไปต่อได้ เเละไม่ใช่เเค่ตัวเราที่ไปต่อ เเต่ความรู้ความสามารถที่นักกีฬานำมาถ่ายทอดสู่คนรุ่นต่อไป จะทำให้วงการกีฬาเราไปต่อได้อย่างยั่งยืน

ELLE MEN: Accessory ที่ขาดไม่ได้?

Tong: จริง ๆ ทุกอย่างสำคัญ เเละเป็นเครื่องมือข้าวของที่ทุกคนก็มีทั่วไป ตอนนี้ที่ผมมองคือ เราใช้มันให้เต็มประสิทธิภาพเเล้วหรือยัง ถ้ามีนาฬิกาดูเวลาเเต่ไม่ทำเวลา ไม่เเบ่งเวลาจัดลำดับความสำคัญ นาฬิกาก็ไม่มีประโยชน์ อย่างตอนนี้โทรศัพท์ ผมใช้มาทำวิดีโอการเรียนการสอนฟุตบอล ถ้าใครเปิดโทรศัพท์ตอนนี้ก็จะมีเเต่รูปสนามหญ้ากับลูกบอลครับ (ยิ้มกว้าง)

ELLE MEN: อยากบอกอะไรกับคนที่เห็นเราเป็นไอดอล?

Tong: ต้องบอกว่าด้วยความที่เราเป็นที่รู้จัก อาจทำให้มีคนชื่นชอบทั้งจากเพอร์ฟอร์แมนซ์ ความสามารถ หรือด้านอื่น ๆ ที่เขามองว่าอยากจะเป็นตาม ถ้าถอดเปลือกความเป็นไอดอลออกมา เราก็คนธรรมดาคนหนึ่งเหมือนกันที่มีทั้งข้อดีเเละข้อเสีย ก็อยากขอบคุณที่เห็นข้อดีของเรา เเละอยากให้เอาข้อดีของเรานั้นเป็นเเบบอย่างให้เขาได้มีพลังในการสร้างสรรค์ชีวิตเขาในเเบบที่เป็นตัวเขาเองครับ ไม่จำเป็นต้องเหมือนผมทุกอย่าง เพราะสุดท้ายเเล้วไม่มีใครเหมือนใครได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ

ELLE MEN: คิดอย่างไรกับการได้รับเลือกให้มาเป็นหนึ่งใน #TeamProspex กับ SEIKO?       

Tong: สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตคนเราคือเวลา เพื่อที่จะสานต่อหน้าที่ของเราให้ดีเเละชัดเจนที่สุด การรู้เวลาเเละจัดการเวลาจึงสำคัญ การได้รับเลือกให้มาเป็นหนึ่งบุคคลที่เป็นตัวแทนของนาฬิกา Prospex ซึ่งเป็นนาฬิกาที่ก้าวข้ามขีดจำกัด ให้เราสามารถดูเวลาได้ทุกที่ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน ซึ่งตอบโจทย์การใช้งานเเละซัพพอร์ตผู้ใส่นาฬิกา ผมภูมิใจที่ได้เป็นหนึ่งในครอบครัว Seiko ซึ่งเป็นเเบรนที่ไม่เคยหยุดพัฒนา เหมือนกาลเวลาที่ไม่เคยหยุดเดิน

ELLE MEN: ข้อดีของการลองก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองเพื่อไปเจอกับเส้นทางใหม่ ๆ คืออะไร?

Tong: การก้าวข้ามขีดจำกัดเป็นการสลายความกลัว ความไม่มั่นใจ ความไม่เชื่อมั่นในความสามารถของตนเอง หากเราก้าวข้ามสิ่งเหล่านี้ไปได้ สิ่งที่เราจะเจอคือสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เราก้าวข้ามมาทั้งหมด 

‘เราผ่านพ้นความกลัว มาเจอความกล้าหาญ
ผ่านพ้นความไม่มั่นใจ มาเจอความมั่นใจ
ผ่านพ้นความไม่เชื่อ มาเจอกับความเชื่อมั่นเเละค้นพบสิ่งที่เราทำได้ดี’

Similar Articles

More