เจฟ-ต่อ-พีพี สามศิลปินนักร้องและนักแสดงที่หว่านเมล็ดพันธุ์บนเส้นทางของตัวเอง ผ่านช่วงเวลางอกเงย ผลิบาน เก็บเกี่ยวประสบการณ์ทั้งโจทย์ยากและโจทย์ใหญ่ ไม่ใช่แค่การแสดงบนหน้าจอหรือการเพอร์ฟอร์มบนเวทีเท่านั้น แต่คือการใช้ชีวิตอย่างละเมียดบรรจง
JEFF SATUR
นาทีนี้คงไม่มีวัยรุ่นคนไหนไม่รู้จัก เจฟ-วรกมล ซาเตอร์ หรือ Jeff Satur เขาคือศิลปินที่บรรจงจรดเรื่องราวลงบนตัวโน้ตได้อย่างกลมกล่อม ทิ้งร่องรอยทางความรู้สึกให้กับคนเสพ และเป็นที่รู้กันถึงความสามารถในการร้องและประดิษฐ์คำ ซึ่งนอกจากจะทำให้เห็นลูกเล่นทางภาษาที่แพรวพราวอย่างคาดไม่ถึงแล้ว ยังแสดงออกถึงความช่างคิดและละเอียดอ่อนกับเรื่องเล็กน้อยในชีวิตได้เป็นอย่างดี

ด้วยเชื่อว่า ทุกบทเพลงที่บรรเลงขานล้วนมีเรื่องเล่าเคล้าทำนองร่วมอยู่ เราจึงชวนศิลปินลูกเสี้ยวไทย-อังกฤษ-จีน เจ้าของเส้นเสียงเพราะจับใจมานั่งพูดคุย เปิดหัวข้อสนทนาโดยพาไปสำรวจชิ้นส่วนความทรงจำ ผ่านบทเพลงที่สะท้อนตัวตนของเขาตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมา
หนึ่ง Kurenai ของ X Japan “ตอนเด็กๆ ผมฟังแล้วรู้สึกว้าวมาก ท่อนแรกขึ้นมาเป็นบัลลาด แล้วอยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนเป็นร็อกที่ดุดัน แสดงให้เห็นถึงความขัดแย้งกันระหว่างสองสิ่งแบบสุดขั้ว เหมือนผมเองที่มีอีกด้าน ในทางจิตวิทยาเรียกว่า ‘อัลเตอร์อีโก’ หรือตัวตนแฝงอีกแบบหนึ่ง ซึ่งแตกต่างไปจากตัวตนแบบที่เป็นอยู่”

สอง Welcome to the Black Parade ของ My Chemical Romance “ประสบการณ์จากตอนที่ได้สัมผัสเพลงนี้มันท่วมท้นมากกว่าทุกเพลง เป็นเพลงที่ขับเคลื่อนความเป็นตัวเราออกมาชัดเจนมาก”
สาม If I Can Dream ของ Elvis Presley “เอลวิสใช้เวลาเขียนเพลงนี้ขึ้นมาเพียงแค่แป๊บเดียว ส่วนตัวมองว่าเป็นบทเพลงที่มีคุณค่า เพราะมันทำให้เรากล้าฝัน จนวันหนึ่งที่สามารถทำตามความฝันได้จริงก็ยิ่งรู้สึกว่านี่คือผลงานที่เป็นแรงผลักดันชั้นเยี่ยม”

ปัจจุบันเจฟกลายเป็นศิลปินแถวหน้า เขาคือเจ้าของเพลงฮิตที่ดังกระหึ่มแทบทุกชาร์ต และหากจะย้อนให้เห็นถึงการเดินทางตลอดหนึ่งทศวรรษในโลกดนตรีของเจฟก็ต้องบอกว่าไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ มีอะไรท้าทายเกิดขึ้นมากมาย ถึงอย่างนั้นเจฟก็ไม่เคยคิดถอดใจหรือถอนตัว ชอบเพลงก็ยังทำเพลง จนกระทั่งวันนี้เขาพาตัวเองมาถึงจุดที่พูดได้เต็มปากว่าประสบความสำเร็จ สามารถสร้างสีสันและความสดใหม่ให้วงการดนตรีไทยได้อย่างที่ใจฝัน
แต่เจฟไม่ใช่คนประเภทยึดติดอยู่ในกรอบ เขาคือคนที่มีความสนใจรอบด้าน ลุกลามไปถึงแวดวงหนังและซีรีส์ อีกฟากฝั่งของวงการบันเทิงที่เจ้าตัวสามารถสร้างแรงกระเพื่อมด้วยผลงาน คินน์พอร์ช และ วิมานหนาม ซึ่งถูกพูดถึงเป็นอย่างมาก ทำให้ผู้คนหันมาจดจ้องในฐานะนักแสดงได้เช่นกัน
ว่าด้วยเรื่องการข้ามพ้นวัยของเด็กหนุ่มที่ตามหาตัวตนจนเจอ นับตั้งแต่เดบิวต์ เอาตัวรอดจาก
ช่วงวันอันแสนบอบบางด้วยเหตุเพราะโชคชะตาที่ไม่เข้าข้าง สู่นักร้องเสียงดีที่มีชื่อชั้นเพิ่มพูนขึ้น และได้รับการยอมรับจากแฟนคลับทั่วโลก ระยะเวลาเกินกว่า 10 ปีนั้นถือว่านานพอที่จะเคี่ยวกรำประสบการณ์บนถนนสายดนตรีอย่างถ่องแท้และรอบด้าน
แบบที่ไม่ต้องขบคิดอะไรให้มากนัก จึงนำมาซึ่งคำถามทีเล่นทีจริงที่ว่า ถ้าเปรียบชีวิตตอนนี้เป็นการทำเพลง เจฟคิดว่ากำลังอยู่ในขั้นตอนไหน “เหมือนเพิ่งจบอัลบั้มแรก กำลังเริ่มต้นเขียนเพลงใหม่ และอยู่ในช่วงมองหาแรงบันดาลใจสำหรับทำอัลบั้มถัดไป”
เคล็ดลับในการหาอินสไปเรชั่นของเขานั้นเรียบง่าย และอาจเป็นเรื่องปกติที่เราทำกันทั่วไปในทุกๆ วันอยู่แล้ว “ผมตั้งคำถามกับทุกอย่าง เพราะมันคือเรื่องของชีวิต ชีวิตก็คือเพลง เพลงก็คือชีวิต มันคือสิ่งเดียวกัน” การฝึกถามคำถามก็เหมือนกระบวนการทบทวนตัวเองอย่างหนึ่ง การได้ใช้เวลาย้อนนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น สำรวจอารมณ์ ความคิด ความต้องการ ความรู้สึกตัวเองบ่อยๆ จะนำมาสู่การพัฒนาตนเองต่อไป เจฟเชื่ออย่างนั้น

สิ่งสุดท้ายในการสัมภาษณ์ครั้งนี้คือการขอให้เจฟแต่งเพลงใส่เข้าไปในไทม์แคปซูล เพื่อที่คนในอนาคตอีก 10 ปีข้างหน้าจะเปิดฟังแล้วทำความรู้จักกับตัวตนของเขาได้มากที่สุด
เพลงที่เจฟเลือกแต่งมีชื่อว่า ‘The Last Flight’ สื่อถึงการโบยบินครั้งสุดท้ายที่ไม่ได้หมายถึงจุดจบอวสาน ทว่าเป็นการเดินทางสู่ความฝันครั้งใหม่ “ถึงแม้ยังไม่รู้จุดหมายปลายทาง แต่เชื่อมั่นว่ามันจะเป็นเที่ยวบินที่เต็มไปด้วยความสุขอย่างแน่นอน”
TOR THANAPOB
ในวัย 31 ปี ต่อ-ธนภพ ลีรัตนขจร ยังคงเป็นนักแสดงที่น่าจับตามอง ไม่ใช่แค่เพราะบทบาทที่หลากหลาย หรือความสามารถที่พัฒนาไม่หยุดยั้ง แต่คือวิธีที่เขากำลังสร้าง ‘ตัวตน’ ขึ้นอย่างมีชั้นเชิง และเต็มไปด้วยความจริงใจ บทสนทนาครั้งนี้กำลังพาเราไปสัมผัสความคิดเบื้องลึกของผู้ชายที่ยอมรับความเปลี่ยนแปลง กล้าปล่อยในสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ และเดินหน้าแบบไม่คิดถอยหลัง

เราเปิดบทสนทนาด้วยการให้ต่อนิยามตัวเอง “ปล่อยง่ายขึ้น ไม่มีเกียร์ถอย และเลือกที่จะแคร์” นักแสดงหนุ่มเลือกสามคำเพื่ออธิบายว่าตัวเขาเป็นอย่างไรในวัยเลขสาม “เมื่อก่อนผมมุทะลุมาก ต่อให้รู้ว่าไม่น่าเวิร์กก็ยังจะพยายาม แต่ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าอะไรที่เราควบคุมไม่ได้ก็ไม่ควรเสียเวลาไปกับมัน” ทั้งหมดนี้ไม่ได้เป็นเพียงคำอธิบาย แต่คือบทเรียนชีวิตที่ผ่านการกลั่นกรองมาแล้ว
“พอเข้าใจว่าเวลามีค่าขนาดไหน ผมก็ปล่อยง่ายขึ้น จากเมื่อก่อนเป็นคนดื้อมาก ดื้อแบบกัดไม่ปล่อยเลย ตอนนี้ก็เลือกที่จะวางลงบ้าง อะไรที่แก้ไม่ได้ หรือคอนโทรลไม่ได้จริงๆ ก็ไม่อยากเสียเวลาไปกับสิ่งที่ไม่จำเป็น

“เมื่อรู้ว่าตัวเองชอบอะไร อยากทำอะไรก็เดินหน้าเต็มที่เลยครับ ผมไม่ได้ลองเพราะแค่อยากลอง แต่ลองลงมือทำเพราะอยากทำมันจริงๆ รู้สึกว่านี่คือช่วงเวลาทองของชีวิต อายุ 30-35 สำหรับผมคือจังหวะที่ต้องใส่ให้สุด ไม่มีเกียร์ถอย
“ช่วงหลังๆ ผมอยู่กับตัวเองเยอะขึ้น ทำให้รู้ว่าเราไม่สามารถแคร์ได้ทุกอย่างอีกต่อไป เพราะชีวิตมันจำเป็นต้องเลือก การเลือกไม่ได้หมายความว่าจะตัดใครออกไปนะครับ เราเองต้องยอมรับด้วยว่าทุกคนก็มีสิทธิ์เลือกเหมือนกัน บางคนเราอยากรักษาไว้ แต่เขาอาจไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกัน ถ้ามันตรงกันก็ดี ถ้าไม่ตรงก็ไม่เป็นไร เราแค่ต้องปล่อย ซึ่งมันจะกลับไปที่คำแรกคือ ‘ปล่อยง่ายขึ้น’ ตอนนี้ผมเริ่มรู้แล้วว่าตัวเองควรแคร์อะไร ไม่ใช่เพราะเย็นชา แต่เราแคร์ทุกอย่างไม่ได้หรอก สุดท้ายคนที่เหนื่อยคือเราเอง ผมเลยชัดเจนกับตัวเองว่าจะใส่ใจกับใครหรืออะไรแค่ไหน”
เมื่อถามว่าถ้าให้เปรียบชีวิตกับ ‘งานคราฟต์’ ต่อคิดว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในขั้นตอนกระบวนการไหน สเกตช์แบบ ขึ้นรูป หรือใกล้เสร็จเป็นชิ้นงานสมบูรณ์แล้ว เขากลับเลือกคำตอบที่ไม่อยู่ในตัวเลือก “ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นงานปั้นที่ไม่มีแบบ” ในมุมของศิลปะ นี่อาจใกล้เคียงกับลักษณะของงานปั้นฟรีฟอร์มที่ก่อรูปร่างด้วยมือ ในขณะนั้นก็ค่อยๆ ใส่ดีเทลลงไป
“เหมือนกับชีวิตของผมที่ไม่ได้กำหนดว่าต้องเป็นแบบไหนมาตั้งแต่แรก แต่มันคือการปั้นขึ้นทีละส่วน โดยไม่รู้ว่าท้ายที่สุดจะกลายเป็นอะไร ผมว่าอันนี้แหละคือสิ่งที่เรียกว่าคราฟต์จริงๆ เพราะมันเพิ่มรายละเอียดเข้าไปทุกขั้นตอน”

ต่อไม่ลังเลที่จะหยิบยก ‘ก้อนสไลม์’ มานิยามตัวเองเพิ่มเติม “ผมรู้สึกว่ามันเหมือนผมนะ มันยืดหยุ่น เปลี่ยนรูปไปตามภาชนะ แต่ไม่ใช่น้ำ เพราะยังมีน้ำหนัก ยังมีตัวตนของมันอยู่ แล้วก็ฟื้นคืนสภาพได้เสมอ เหมือนเวลาเราเล่นบทที่มีมิติมากๆ ต้องรับแรงปะทะอารมณ์เยอะๆ รับทุกอย่างแล้วเด้งกลับคืนมาได้ ผมว่าอันนี้แหละคล้ายกับการเป็นนักแสดงที่ผมเป็นอยู่” ไม่ว่าบทบาทนั้นจะหลากหลายและซับซ้อนแค่ไหน เมื่อเสียงสั่งคัตดังขึ้น ต่อก็สามารถหดยืดคืนตัวกลับมาเป็นตัวเองได้เสมอ
PP KRIT
หลายคนรู้จัก พีพี-กฤษฏ์ อำนวยเดชกร ในฐานะนักแสดงผู้สร้างแรงสั่นสะเทือนจากบทบาทโอ้เอ๋ว หลายคนหลงใหลเสียงร้องและการเพอร์ฟอร์มบนเวทีในฐานะศิลปิน และอีกหลายคนติดตามเขาในฐานะบุคคลต้นแบบของเจเนอเรชั่นใหม่ ที่ไม่เพียงแสดงออกถึงอัตลักษณ์ของตนเองอย่างไร้กรอบจำกัด แต่ยังสร้างแรงบันดาลใจภายใต้หมวกของการเป็นผู้บริหาร PP Krit Entertainment
หากชีวิตคือกระบวนการสร้างงานศิลปะ พีพีกำลังอยู่ระหว่างขั้นตอนการ ‘คราฟต์’ บางสิ่งที่ลึกซึ้ง “นักแสดง ศิลปิน และผู้บริหารท่านหนึ่ง” สามคีย์เวิร์ดนี้คือสิ่งที่พีพีเลือกใช้เมื่อต้องนิยามตัวเองในวันนี้

ย้อนกลับไปถึงจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตกับบทบาทการเป็นนักแสดง “เมื่อก่อนพีเป็นคนขี้อายมาก แต่การแสดงทำให้พีก้าวข้ามผ่านตรงนั้นจนสามารถออกมาอยู่ข้างหน้าได้ มันเปลี่ยนทัศนคติพีไปเยอะมากจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นเด็กมัธยมในแปลรักฉันด้วยใจเธอ หรือแม้กระทั่งบทผีในหนังเรื่องล่าสุด มันทำให้พีเข้าใจความรู้สึกคนอื่น และบางที…ก็เข้าใจตัวเองมากขึ้นด้วย” พีพีเปรียบบทบาทของนักแสดงว่าเป็นเครื่องมือฝึกฝนหัวใจ การได้เข้าไปอยู่ในชีวิตของตัวละคร ทำให้เขาเปิดมุมมองต่อโลกและผู้คนโดยไม่จำกัดกรอบ

“ตอนแรกไม่ได้คิดเหมือนกันว่าจะได้มาอยู่วงการนี้” พีพีเล่าด้วยน้ำเสียงเรียบง่ายแต่ชัดเจน การเป็นนักแสดงและศิลปินไม่ใช่สิ่งที่เขาวางแผนไว้ แต่เมื่อได้ก้าวเข้าสู่เส้นทางนี้แล้ว กลับพบว่ามันเป็นพื้นที่ที่เขาสามารถทดลอง เติบโต และค้นพบตัวตนในแบบที่ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน “บทบาทการเป็นศิลปินช่วยคราฟต์ตัวตนของพีตั้งแต่เรื่องการสร้างความมั่นใจ การเพอร์ฟอร์ม ตลอดจนถึงการทำงานเบื้องหลัง พีได้เรียนรู้เยอะมากจากการทำเพลง ได้รู้ว่าตัวเองชอบอะไร ไม่ชอบอะไร จุดแข็งของเราคืออะไร และอะไรที่ทำให้เรามีความสุขจริงๆ”
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อก่อตั้ง PP Krit Entertainment ขึ้นมา เส้นแบ่งระหว่างศิลปินกับผู้ประกอบการก็แทบจะพร่าเลือน เพราะในทุกโปรเจ็กต์ เขาคือคนที่ต้องคิด ทำ และดูแลทุกองค์ประกอบด้วยตัวเอง ไม่ใช่ศิลปินที่ออกสเต็ปแค่หน้าเวที แต่เข้าไปเรียนรู้ระบบหลังบ้าน กำหนดทิศทางและบริหารทีมงาน “ตอนเป็นศิลปินหรือนักแสดงเราแค่ทำหน้าที่ตรงนั้นให้ดี แต่พอเป็นผู้บริหาร เราต้องคิดและจัดการทั้งหมดตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ ในฐานะเจ้าของค่ายก็เหมือนเราได้โตไปพร้อมๆ กับบริษัท”

เส้นทางของพีพีกำลังไปได้สวย แต่เขาก็ยอมรับว่าเคยมีจุดที่ไม่ได้ดั่งหวังเหมือนกัน สิ่งสำคัญคือต้องลุกให้ไวแล้วเดินหน้าต่อ “เป็นคนไม่อยากคาดหวัง แต่ก็เผลอคาดหวังอยู่ดีครับ (หัวเราะ) แล้วมันก็มีผิดหวังอยู่บ้าง แต่พีเชื่อว่าเราต้องมูฟออนให้เร็วที่สุด เรียนรู้จากมัน แล้วใช้ประสบการณ์นั้นคราฟต์ตัวเราให้แกร่งขึ้น”
ถ้าเปรียบชีวิตของพีพีกับงานคราฟต์ กำลังอยู่ในขั้นตอนใด เขานิ่งคิดแล้วตอบพลางสบตา “ก่อนหน้านี้เป็นช่วง sketching ค่อยๆ หาตัวตนว่าเราชอบเพลงแบบไหน ลุคแบบไหน แต่ตอนนี้หลายอย่างเริ่มเป็นรูปร่างขึ้นแล้ว เหลือแค่ทำให้เสร็จสมบูรณ์ในสักวัน”
Credit Team:
Photographer: Sutthiwat Sangkong
Fashion Editor: Ratchakrit Chalermsan
Makeup: Chawika Lieochaiyaphan, Yothin Chuaysri
Hair: Chattramongkol Klamsuk

