จากเรื่องราววุ่นๆ ของวัยรุ่นเล็บเจลในซีรีส์รักสี่เส้าสู่มิตรภาพที่เติบโตนอกจออย่างต่อเนื่อง ครั้งนี้แอลเมนได้ต้อนรับ นิว-ชยภัค ตันประยูร, ไปป์-มนธภูมิ สุมนวรางกูร, พีเจ-มหิดล พิบูลสงคราม และ เลออน เซ็ค ขึ้นปกครั้งแรกอย่างเป็นทางการ
ไม่ใช่แค่การรวมตัวของนักแสดงที่เคมีเข้ากันได้ดีเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปิดพื้นที่ให้เราได้รู้จักตัวตนและมุมมองของพวกเขา ระหว่างรอโปรเจ็กต์ใหม่ GELBOYS Season 2 ที่กำลังจะออนแอร์เร็วๆ นี้ รวมถึง Gelty รายการเรียลลิตี้กึ่งวาไรตี้ที่จะเผยความสัมพันธ์ของสี่หนุ่มแบบ unfiltered
ก่อนที่ทุกคนจะได้กลับไปอยู่ในจักรวาลของเจลบอยอีกครั้ง เราชวนทั้งสี่คนมานั่งคุยกันแบบสบายๆ ว่าหลังจากความสำเร็จในซีซั่นแรก ความคิดของพวกเขาที่มีต่อบริบทสังคม ความรัก ความกลัว ความกล้า เปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน

ฟีดแบ็กหลังจาก GELBOYS ออกอากาศจบแล้ว
นิว: หลังจากออนแอร์แล้ว ตัวละครของผมก็เป็นที่พูดถึงพอสมควร คนเริ่มเรียกชื่อเราว่าโฟร์มดมากขึ้น เริ่มติดภาพสไตล์การแต่งตัว ทำให้ผมรู้สึกอินไปด้วย เหมือนเราได้ explore แล้วปลดล็อกอะไรบางอย่าง วันไหนกลับมาเป็นนิวคนเดิมที่ใส่สีสันน้อยๆ จะรู้สึกไม่ค่อยชิน เหมือนดีเทลเหล่านั้นมันค่อยๆ ซึมซับเข้ามาในชีวิตจริงไปโดยปริยาย
ไปป์: เซอร์ไพรส์ทุกอย่างเลยครับ ในฐานะนักแสดงผมก็แค่อยากให้งานออกมาดีที่สุด แต่ปรากฏว่าฟีดแบ็กดีมาก พลังบวกล้นหลาม ช่วงแรกบางคนอาจจะรู้สึกไม่ค่อยโอเคกับสิ่งที่เชียรทำ แต่ก็เข้าใจได้ พอเอาเข้าจริงทุกคนก็ชอบครับ เพราะมีหลายอย่างที่รีเลททั้งคนวัยเด็กและวัยผู้ใหญ่
พีเจ: ก่อนออนแอร์ผมเคยคิดว่ามันอาจจะแมสแค่ในเด็กวัยรุ่นเฉพาะกลุ่มที่เดินสยาม หรือเด็กที่ชอบแฟชั่น แต่ปรากฏว่าผิดคาด กลายเป็นผู้ใหญ่ที่กลับมาเปลี่ยนแนวการแต่งตัว เริ่มเห็นผู้ชายไปทำเล็บเจลแบบพวกเรา ฟีดแบ็กจากคนใกล้ตัวก็เปลี่ยนไป เวลาเขาเจอป้ายโปรโมตก็จะชอบถ่ายรูปแล้วแท็กมา อะไรแบบนี้มันน่ารักมากเลย
เลออน: ฟีดแบ็กจากกลุ่มคนดูที่ยังไม่ใช่แฟนคลับเรา เขาชอบมาก เขามองว่าแปลกใหม่ ช่วงแรกมีคนอินเยอะ ส่วนฟีดแบ็กจากครอบครัวและเพื่อนๆ มีแต่ความว้าว ‘เฮ้ย ถามจริง’ ไม่คิดว่าเราจะไปอยู่ในจอทีวีแบบนั้น พ่อแม่ก็ภูมิใจกับเส้นทางที่เราเลือก เราพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าหาเลี้ยงตัวเองได้

การได้ทำงานร่วมกันในซีรีส์เรื่องนี้ให้บทเรียนอะไรบ้าง
นิว: กองนี้สอนให้ผมเปลี่ยนวิธีคิด เป็นนิวเวอร์ชันใหม่ในฐานะมนุษย์คนหนึ่งที่เติบโตขึ้น แม้แค่ช่วงเวลาสั้นๆ แต่ผมก้าวข้ามผ่านอะไรหลายอย่าง ทำให้ผมเข้าใจความเป็นมนุษย์มากขึ้น และยอมรับกับตัวเองว่าเราพังบ้างก็ได้ ในส่วนของการแสดงก็พัฒนาขึ้นด้วย
ไปป์: ผมได้ไฟในการทำงานจากทีมงานทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นนักแสดงด้วยกัน ทีมเขียนบท หรือทีมเบื้องหลัง ระหว่างทางพวกเราอาจจะเหนื่อย แต่ทุกคนมีเป้าหมายเดียวกัน การอยู่ในกองใหญ่แบบนี้ก็เหมือนทุกคนเป็นครอบครัว แค่มองตาก็เข้าใจกันแล้ว ผมมีความสุขกับผลลัพธ์ที่ออกมามากๆ ตอนนี้มีแต่รอยยิ้มและรอวันที่จะได้ออกกองกับแก๊งเจลบอย
พีเจ: ถ้าในฐานะนักแสดง ตอนแรกผมคิดว่าตัวเองพอจะมีสกิลพื้นฐานอยู่บ้างประมาณหนึ่ง จนได้มาเล่นเจลบอยก็รู้สึกว่านี่แค่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ยังมีอะไรในศาสตร์นี้ให้เรียนรู้และพัฒนาอีกเยอะ รู้สึกว่าตัวเองรับผิดชอบมากขึ้น เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น มีหลายสิ่งที่ต้องแลก ซึ่งผมโอเคที่จะแลกเพื่อให้ได้ทุ่มเทกับงานอย่างเต็มที่
เลออน: ถ้าพวกเราตั้งใจก็จะได้ผลงานคุณภาพที่ดี โปรเจ็กต์นี้ทำให้ผมเชื่อว่า งานสเกลใหญ่จะออกมาดี ได้ ทั้งนักแสดงและทีมงานยังไงก็ต้องเหนื่อย ผมทั้งอึ้งทั้งชื่นชมกับกองถ่ายนี้ เพราะทุกฝ่ายทำหน้าที่ของตัวเองเต็มที่ เหมือนทุกคนมีเป้าหมายเดียวกัน มีภาพเดียวกันที่ชัดเจนมาก และไปในทิศทางเดียวกัน

ในมุมมองของคุณ GELBOYS กำลังส่งเสียงอะไรต่อสังคมวัยรุ่นบ้าง
นิว: เรื่องนี้ช่วยสร้าง awareness ให้ผู้คนได้เห็นว่าจริงๆ แล้วสังคมเรามีความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นคำพูดคำจา ภาษา สไตล์การแต่งตัว การทำเล็บเจล คนบางกลุ่มหรือบางวัยอาจไม่ได้รับรู้ถึงสิ่งนี้มาก่อน ทำให้หลายๆ คนเริ่มค้นหาตัวเองและกล้าแสดงตัวตนออกมา
ไปป์: เจลบอยทำให้คนกล้าคิด กล้าทำ และกล้าแสดงออก ผมว่าคนแยกแยะออกว่าอาการกั๊กมันเป็นแค่ส่วนหนึ่งที่สอดแทรกเข้ามา นอกเหนือจากนั้นคือเรื่องสไตล์การแต่งตัว การพูด การกระทำ การแสดงตัวตน การแสดงจุดยืน เชื่อว่าหลังจากได้ดูแล้วสไตล์ของหลายๆ คนอาจจะเริ่มเปลี่ยนไปไม่มากก็น้อยเพื่อสร้างสีสันให้ตัวเอง
พีเจ: ผมคิดว่าเจลบอยกำลังสื่อสารเรื่องการโอบรับความหลากหลาย การแสดงออกถึงตัวตนที่ไม่ได้มีข้อจำกัด และไม่มีใครมาตัดสิน
เลออน: Proud to be myself น่าจะเป็นคีย์เวิร์ดหลักที่มาจากเรื่อง Gelboys ผมคิดว่าซีรีส์กำลังส่งต่อเรื่องความกล้า ความมั่นใจที่จะเป็นตัวเอง ด้วยความที่ซีรีส์เล่าเรื่องความเป็นไปของเด็ก Gen Z ว่าวัยรุ่นชอบทำอะไร ต้องการอะไร ทำให้คนดูไม่ว่าผู้ใหญ่หรือเด็กอายุต่ำกว่า 18 หรือใครก็ตาม ได้มาเห็นคัลเจอร์ของเด็กสยามที่เป็นอะไรใหม่ๆ อย่างพ่อแม่ผมที่อยู่ขอนแก่นก็เพิ่งรู้ว่า คนเดินสยามจะยกมือถือขึ้นมาถ่ายคอนเทนต์ การที่เราไปร่วมกิจกรรมอย่าง Random Dance หรือการแต่งตัวของเด็กยุคนี้ที่มีอยู่จริง ผมเลยดีใจที่เป็นส่วนหนึ่งในการถ่ายทอดวัฒนธรรมสยาม หรือการที่คนเรียกพวกเราว่าเจลบอย ผมก็รู้สึกภูมิใจที่เจลบอยได้กลายเป็นป๊อปคัลเจอร์ไปแล้ว

มีฉากหรือบทพูดไหนที่ยังติดอยู่ในหัว
นิว: ซีนที่เล่นกับบ้าบิ่นในอีพีท้ายๆ ตอนกำลังร้องไห้อยู่ในห้องสมุด จังหวะนั้นผมเล่นด้วยอินเนอร์ของตัวเอง โฟร์มดรู้สึกว่าเขาทำให้ทุกคนผิดหวัง รู้สึกว่าไม่มีค่ากับใครเลย โมเมนต์นั้นยังติดอยู่ในใจผมตลอด ในขณะเดียวกันก็สอนให้ผมรู้ถึงคุณค่าของตัวเองด้วย ท้ายที่สุดเราก็สามารถเอาชนะตัวเองและทำได้จริงๆ
ไปป์: ถ้าเป็นศัพท์แปลกผมยกให้คำว่า ‘โซ๊ะ’ ชอบคำนี้มาก ติดเอาไปพูดทุกที่ ส่วนซีนที่ติดอยู่ในใจ คงเป็นตอนที่เชียรอยู่กับตัวเองทุกซีน ด้วยความเป็นตัวละครที่มีแก่นแกนบางอย่างเชื่อมโยงกับเรา ถึงแม้พื้นฐานเราไม่ใด้เป็นคนเศร้าง่ายขนาดนั้น แต่ช่วงหลังๆ ก็แอบมีมุมแบบนั้นบ้าง พออยู่กับตัวเองมากๆ ก็อาจจะคิดวนลูปในเรื่องที่เราทุกข์ แต่มีวิธีแก้คือต้องออกไปเจอโลก เจอครอบครัว เจอเพื่อนครับ
พีเจ: ของผมเป็นซีนสารภาพกับโฟร์มด ตอนเล่นผมรู้สึกอินมาก ยังจำมวลความเจ็บปวดที่เห็นคนที่เรารัก คนที่เราทะนุถนอมมานาน กำลังจะเดินไปกับคนอื่น ยังจำความรู้สึกตอนนั้นได้ดี
เลออน: อีพี 7 ครับ ฉากที่เต้น Random Dance แล้วบ้าบิ่นเดินมาหาบัว เหมือนเขาจะขอโทษเป็นรอบที่ร้อยแต่บัวไม่ไหวแล้ว ไม่อยากทนกับเรื่องเดิมๆ รู้สึกว่า ‘เฮ้ย ทำไมกูไม่รักตัวเองสักทีวะ’ บัวก็เลยระเบิดอารมณ์ออกมาแล้วพูดว่า ‘เลิกกั๊กกูสักทีได้ไหม กูจะเป็นบ้าอยู่แล้ว’ ตอนเล่นซีนนี้ผมน้ำตาแตกจริงๆ เป็นความรู้สึกที่ผมเคยพบเจอมาก่อน ผมเข้าใจตัวละครนี้มากตรงที่บัวเป็นตัวเองมาตลอด ชัดเจนกับความรู้สึกของตัวเองมาตลอด แต่โดนความคิดเห็นหรือคำพูดของคนอื่น psycho ว่าตัวเองยังดีไม่พอ จนสุดท้ายบัวก็พูดสิ่งนั้นออกไป ซึ่งผมรู้สึกว่า impact และ deep มาก เป็นคำที่วนอยู่ในหัวตลอดตั้งแต่วันที่เล่นซีนนั้นเลย

หลังจากซีรีส์นี้จบลง คุณมีมุมมองต่อความรัก ความกลัว หรือความกล้า เปลี่ยนไปไหม
นิว: ผมยังมองความรักเหมือนเดิม แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือกล้ายอมรับกับตัวเองว่าบางครั้งเราก็กลัว เหมือนเป็นความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ข้างใน ถ้าเรายังกลัวอยู่ก็ไม่กล้าลงมือทำ แต่พอปลดล็อกแล้ว กล้าเผชิญหน้ากับสิ่งที่กลัว ก็เปิดโอกาสให้เราได้ลองเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
ไปป์: ผมกลัวน้อยลง กล้ามากขึ้น และเพิ่งรู้ตัวว่าเป็นคนขี้ระแวง ระแวดระวัง ผมค่อนข้าง play safe ในหลายๆ เรื่อง พอมาถ่ายเจลบอยทำให้ผมเจอน้องๆ ที่กล้าคิดกล้าแสดงออก ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ดีที่ผมเคยมี แต่อาจจะทำหล่นหายไประหว่างทาง นอกจากนี้ก็รู้สึกแฮปปี้กับการเป็นตัวเองมากขึ้น แฮปปี้กับสังคม แฮปปี้กับทัศนคติของผู้คนมากขึ้น ผมว่าทุกคนควรเป็นตัวเอง การทำความเข้าใจกันมันไม่ใช่เรื่องยากขนาดนั้น
พีเจ: ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักนิด (หัวเราะ) เรื่องความรักผมเต็มที่ยิ่งกว่าตัวละครบ้าบิ่นอีก เวลารักใครผมทุ่มเทมากจริงๆ
เลออน: เปลี่ยนไปครับ เปลี่ยนไปทุกอย่างเลย อย่างเรื่องความรัก ไม่ว่าคนที่เราชอบอยู่จะดีขนาดไหน ก็อย่าหลุดโฟกัสเรื่องการรักตัวเอง ถ้าเราทุ่มเพื่อใครมากเกินไป วันหนึ่งเราจะกลายเป็นบ้า จะกังวลตลอดว่าเราทำอะไรผิด นี่คือสิ่งที่ผมเรียนรู้จากซีรีส์แล้วนำมาใช้จริง ก็คือรักตัวเองก่อน มั่นใจในตัวเองก่อน มั่นใจในสิ่งที่เราทำก่อน แล้วทุกอย่างจะตามมาเอง

GELBOYS เป็นหนึ่งในซีรีส์ที่เด่นเรื่องเเฟชั่น ถ้าต้องเลือกไอเท็มแฟชั่นให้ตัวละครของตัวเอง จะเลือกชิ้นไหน
นิว: ผมขอเลือกแว่น ในเชิงสัญลักษณ์เหมือนภาพแทนของโฟร์มด คนอื่นมองมาจะรู้สึกว่าเขาเท่ เขามีสไตล์จัดจ้าน แต่ลึกๆ กำลังปิดบังบางอย่างอยู่ เพราะโฟร์มดมันไม่กล้าพูด รู้สึกอย่างหนึ่งแต่แสดงออกมาอีกแบบ สะท้อนตัวตนของตัวละครนี้ที่ค่อนข้าง complicate
ไปป์: จริงๆ เชียรก็ใส่เยอะเหมือนกัน ถ้าต้องเลือกแค่หนึ่งชิ้น ผมเลือกหมวกแล้วกัน การเพิ่มหมวกเข้าไปในแต่ละลุคจะทำให้ลุคนั้นดูมีเลเยอร์ ส่วนตัวเป็นคนชอบใส่หมวกด้วยแหละ โดยเฉพาะหมวกบีนนี่ ถ้าเชียรใส่ก็คงจะเท่ดี
พีเจ: ผมคิดว่าเป็นแว่นตา สังเกตว่าในเรื่องบ้าบิ่นไม่ได้ใส่แอ็กเซสเซอรี่ส์เลย ถ้ามีซีซั่นสองก็อยากเติมแอ็กเซสเซอรี่ส์ที่เป็นแว่นตาเข้าไปให้เขา คนดูจะได้เห็นบ้าบิ่นในมิติอื่นๆ บ้างครับ
เลออน: บัวเป็นคนชอบถือกระเป๋า สังเกตว่ากระเป๋าแต่ละใบในแต่ละซีนจะมีความ unique มาก ผมเองยังไม่เคยเห็นมาก่อน รู้สึกว่าเป็นไอเท็มที่แสดงตัวตนของบัวได้อย่างชัดเจน

การได้เข้าร่วมงานกับ Louis Vuitton มีความหมายอย่างไรสำหรับคุณ
นิว: รู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้ร่วมงานกับ Louis Vuitton ส่วนตัวเป็นแฟนคลับแบรนด์นี้อยู่แล้วมาตั้งแต่เด็กด้วยความที่เขามี identity ชัดเจน การถ่ายแฟชั่นเซตนี้จึงเหมือนเป็นอีกหมุดหมายหนึ่งในโลกแฟชั่นที่ผมได้เปิดประสบการณ์
ไปป์: ย้อนไปสมัยมัธยม แน่นอนว่าเราก็อยากมีของแบรนด์เนมสักชิ้นเป็นของตัวเอง ซึ่งแบรนด์แรกที่ pop up ขึ้นมาในหัวก็คือ Louis Vuitton เรียกว่าเป็นแบรนด์ที่ผม respect และรู้สึกชื่นชอบเป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว เพราะมี identity ที่โดดเด่น แล้วผมก็เคยอ่านเจอว่าแบรนด์เริ่มจากการทำหีบเดินทาง ผมว่านี่คือการเติบโตที่ไม่ใช่แค่ฟลุค แต่ผ่านการเรียนรู้และพัฒนามาเรื่อยๆ สิ่งนี้เป็นอินสไปเรชันที่ผมอยากจดจำเอาไว้ การถ่ายแฟชั่นครั้งนี้จึงถือเป็นเกียรติมากที่ Louis Vuitton และ ELLE MEN ชวนมาร่วมงานครับ
พีเจ: การได้ร่วมงานกันครั้งนี้มีความหมายกับผมมาก เพราะอยากทำงานกับแบรนด์ Louis Vuitton มานานแล้ว ส่วนตัวเริ่มติดตามเป็นแฟนคลับจริงๆ จังๆ ตั้งแต่คอลแลบกับ Supreme คอลแลบกับ Nigo เรื่อยมาจนถึงคอลเล็กชั่นที่ Pharrell Williams มาทำให้ก็รู้สึกว่าชอบมาก ยิ่งตอนนี้เราได้สวมเสื้อผ้าคอลเล็กชั่นล่าสุดขึ้นปก ELLE MEN ยิ่งรู้สึกว่ามันพิเศษมากครับ
เลออน: Louis Vuitton เป็นแบรนด์ที่ผม respect เพราะเขาไม่เคยลืมจุดเริ่มต้นของตัวเองเลยจากการทำกระเป๋าเดินทางที่เป็นทรังก์ แล้วยังรักษาคอนเซ็ปต์นั้นมาจนถึงปัจจุบัน จุดนี้แหละที่เชื่อมโยงกับผมในแง่ของการไม่หลงลืมตัวตน

Credit Team:
Editor in Chief: Nichakul Kitayanubhongse
Photographer: Wasu Sukatocharoenkul
Fashion Editor: Ratchakrit Chalermsan
Makeup: Chanajit Dechasatidwong, Saran Anaphon
Hair: Roangritz Apisitvachiramatee, Sirasit sirikarin

