เรียนรู้การมีหวังแบบไม่สิ้นหวังผ่านมุมมองคนดังในระดับโลก

Story: Nile Sad Bar

ผมเคยถาม ChatGPT ว่า “ขอหนึ่งคำเพื่อให้กำลังใจคนที่เผชิญภาวะซึมเศร้า” ChatGPT ตอบกลับว่า “Hope” หรือ “ความหวัง” ผมแคปหน้าจอแทบไม่ทันแล้วรีบโพสต์คำตอบนั้นลงสื่อสังคมออนไลน์หวังจะเป็นกำลังใจให้ผู้ผ่านมาผ่านไป ซึ่งแน่นอนมีคนผ่านมาเห็นพร้อมคอมเมนต์ตอบกลับให้ชื่นใจว่า

“ไม่จริง ความหวังคือตัวทำลายความรู้สึก ความจริง และทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างแย่ลง”

“Unfriend แม่ง!” ไม่…ผมไม่ทำแบบนั้น และแน่นอน นี่ไม่ใช่คำตอบที่คาดหวังแต่ทว่าน่าสนใจ และถ้าให้พูดตามตรง ตัวผมเองก็เคยถูกความหวังทำร้ายมาเช่นกัน

ความหวังในเป้าหมายที่พังทลาย ความหวังในความรักที่แตกสลาย ความหวังให้มีคนคอยรับฟังในวันที่โหดร้ายแต่ไม่เหลือใคร และความหวังในความเชื่อที่สุดท้ายไม่มีจริง สรุปได้ว่า ความหวังเป็นตัวทำลายความหวังในตัวมันเอง

ประสบการณ์บอกผมแบบนั้นและผมไม่ปฏิเสธหากใครจะจมดิ่งกับความโหดร้ายของมัน แต่ถึงอย่างนั้น การยังมีชีวิตอยู่ของผมในวันนี้มันแข็งแรงพอที่จะบอกว่า ไอ้ประโยคข้างต้นที่ว่ามาคือการมองความหวังในมุมเดียว และนั่นไม่แฟร์กับความหวัง (และตัวคุณ) เอาซะเลย

ความหวังประกอบด้วยอะไรบ้าง? ตามทฤษฎีของ Charles R. Snyder นักจิตวิทยาชาวอเมริกันผู้เชี่ยวชาญด้าน Positive Psychology อธิบายว่า ความหวังเกิดจาก 3 องค์ประกอบสำคัญคือ 1. ความคิดที่มีเป้าหมายชัดเจน 2. แผนการที่จะพาไปสู่เป้าหมายนั้น และ 3.แรงกระตุ้นที่ทำให้เกิดการลงมือทำ และผมแถมให้ 4.เวลา เวลาที่คุณต้องเชื่อว่าความหวังพร้อมเกิดได้ทุกเมื่อ และขณะเดียวกัน เวลาที่คุณจำเป็นต้องอดทนรอเพื่อจะได้เห็นผลของมัน

ความหวังไม่ใช่แค่การรอคอย อารมณ์สุข หรือความทุกข์เศร้า แต่ยังเป็นตัวเร่งการเปลี่ยนแปลงให้กับสังคมและโลก มันให้พลังแก่ผู้คนในการต่อสู้และยืนหยัดในความเชื่อเพื่อนำพาชีวิตไปสู่วันพรุ่งนี้ที่สดใหม่กว่า ตัวอย่างมีให้เห็นเช่น การเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมทางสังคม ความเท่าเทียมทางเพศ ความเสมอภาคทางการศึกษา การลดอคติทางสุขภาพจิต การต่อต้านการเหยียดสีผิว ไปจนถึงสนธิสัญญาทางสิ่งแวดล้อมเพื่อโอกาสรอดของมนุษยชาติ เหล่านี้ล้วนเกิดจากความหวังร่วมกันของบุคคลผู้ปฏิเสธที่จะยอมรับสภาพที่เป็นอยู่และมุ่งมั่นที่จะทำให้โลกเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี

ไวรัสชนิดดีเปรียบคล้ายกับความหวังที่ติดต่อในหมู่ผู้คน เมื่อเราเห็นใครสร้างความหวัง ความแตกต่าง และความกล้าหาญ สิ่งนั้นจะเป็นแรงบันดาลใจให้เราเชื่อในความเป็นไปได้ของชีวิตและสร้างแรงกระเพื่อมไม่สิ้นสุด เรื่องราวของผู้เปลี่ยนความทุกข์ยากให้เป็นโอกาสไปจนถึงชัยชนะของนักกีฬาโอลิมปิกอันยิ่งใหญ่ ตัวอย่างที่สะท้อนลึกลงไปในตัวเราและเตือนเราถึงศักยภาพที่พร้อมจะก้าวข้ามความท้าทายที่ต้องเผชิญ

Stephen King นักเขียนนิยายสยองขวัญชื่อดัง กล่าวว่า “ความหวังคือสิ่งที่ดีและอาจดีที่สุดเลยก็ว่าได้ และความดีย่อมไม่มีวันตายจากไป” Winston Churchill อดีตนายกรัฐมนตรีฝีปากจัดเมืองผู้ดีเคยแตะความหวังเอาไว้ว่า “สิ่งที่มีคุณค่ามากมายล้วนให้ความหมายได้ในคำเดียว: เสรีภาพ ความถูกต้อง ความมีเกียรติ ความรับผิดชอบ ความปราณี และความหวัง” Martin Luther King Jr. นักต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมทางสีผิวปราศรัยให้ผู้คนผ่านข้อความ “เราจำเป็นต้องยอมรับความผิดหวัง แต่จงอย่าได้สูญเสียความหวัง” และตัวผมเองผู้ไม่เคยปราศรัยและถ้าไม่ได้เขียนเรื่องนี้ก็คงลืมไปแล้วว่า ตัวเองได้ยอมเปิดแผลลงน้ำหมึกผ่านคมของปลายเข็มที่ความเร็วสามหมื่นรอบอาร์พีเอ็มบนร่างกายเอาไว้ว่า “Hope is always my dream pathway. Whenever I had hope but sadly lost, it’s better than I never had once.” ซึ่งนั่นเป็นคำกล่าวของบิดาข้าพเจ้าเอง

เมื่อมีความหวังย่อมมีความผิดหวัง ยามคุณหมดหวังและสิ้นหวัง ไม่แปลกถ้าคุณจะบ่นแก่พระเจ้า คร่ำครวญในโชคชะตาหรือเลือกจะโทรไปถามหมอดูว่า “ทำไมเรื่องนี้จึงเกิดกับฉัน/ผม/ดิฉัน?” แต่นั่นเป็นการโฟกัสที่ตัวเองมากเกินไปจนลืมไปว่าความผิดหวังเป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่มีใครไม่เคยเจอเรื่องนี้ ไม่เคยมีใครกดข้ามความทรมานนี้ไปได้ มนุษย์ทุกคนแชร์ประสบการณ์นี้ร่วมกัน และว่าตามความจริง ความผิดหวังเองยังสามารถตั้งอยู่บนความหวังได้ตราบที่เราค้นหาสาเหตุ เผชิญความผิดหวังนั้นและจัดการมัน นั่นเท่ากับคุณกำลังสร้างความหวังเล็ก ๆ ขึ้นมาใหม่ คือการเปลี่ยนความผิดหวังเป็นเชื้อเพลิงสู่เป้าหมายและการลงมือทำ ความรู้สึกนี้ถ้าจะอ้างคำกล่าวจากนักปรัชญาชาวอังกฤษ Bertrand Russell ก็คงไม่ผิดที่จะบอกว่า “ความหวังอันสุดขั้วเกิดจากความเจ็บปวดสุดทรมาน” 

ในช่วงเวลาแห่งการต่อสู้ส่วนตัว ความหวังยังสามารถดึงเราออกจากส่วนลึกของความสิ้นหวัง มันปลอบใจด้วยเป้าหมายเมื่อเผชิญกับการสูญเสีย ความเข้มแข็งเมื่อต่อสู้กับความเจ็บป่วย และความกล้าหาญเมื่อเผชิญกับความท้าทาย ความหวังอันริบหรี่คือแสงของดาวหนึ่งดวงที่สามารถจุดประกายให้ความมุ่งมั่น และเป็นเส้นทางให้เราเดินผ่านความมืดมิดได้ด้วยตัวเรา

อย่าได้เข้าใจผิดว่าการเลือกมองความหวังเป็นความคิดเพ้อฝันหรือสักแต่จะมองโลกในแง่ดี แต่นี่คือความสามารถที่ต้องฝึกฝน ฝึกที่จะมองเห็นดวงดาวในหลุมดำ ฝึกที่จะเห็นฝั่งท่ามกลางคลื่นพายุที่โหมกระหน่ำ คือความสามารถในการเห็นแสงสว่างบนโลกโหดร้ายด้วยใจที่เปิดกว้างตามความเป็นจริง

บทสรุปเรื่องนี้แบบตายตัวคงไม่มี เพราะ Hopeful สามารถเปลี่ยนเป็น Hopeless ในเสี้ยววินาที และแม้ความหวังเองมีอยู่ทุกที่ แต่อยู่ไหนวะ? บางทีชีวิตก็เลือกบทตลกให้เราเล่นในแบบนี้ แต่จำไว้เลยว่า ในวันที่คุณหาความหวังแทบไม่เจอ ขอให้เดินไปห้องน้ำ ห้องลองเสื้อ หรือเปิดมือถือแล้วส่องกล้องหน้า เบิ่งกระจกให้เห็นชัด ๆ ไปเลยว่า ในวันที่คุณไม่เหลือใคร ความหวังที่สูญเสียไม่ได้และเป็นความจริงอยู่​ตรงนี้ คือตัวคุณเอง

ที่มา: mypeer.org

Similar Articles

More