ชื่อ Dolce&Gabbana คือหนึ่งในแบรนด์หรูที่คนรักแฟชั่นทุกเจเนอเรชั่นสามารถเสพ และอนุมานได้ว่าเทรนด์แฟชั่นโลกจะไหลไปในทิศทางใด ไม่ว่าจะเป็นเซนส์แฟชั่นยุค ’90s ก่อนหน้านี้ หรืออย่าง Y2K ที่กำลังฮิตอยู่ในปัจจุบัน สองคู่หูดีไซเนอร์นั้นได้ไกด์ไลน์ไว้หมดแล้ว สำหรับคอลเล็กชั่นชาย Fall/Winter 2023 ที่เพิ่งโชว์จบไป อะไรคือเทรนด์ร้อนฉ่าที่ทั้ง Domenico Dolce และ Stefano Gabbana บอกใบ้ไว้? … มินิมอลไงละครับ! ทั้ง 81 ลุคของ Dolce&Gabbana สอดคล้องกับอีกหลายห้องเสื้อที่นำเสนอแฟชั่นรูปแบบนี้ ลดทอนรายละเอียดและตัดสไตล์ลิ่งยุ่งเหยิงทิ้งไป เหลือไว้เพียงซิลลูเอทดูเข้าใจง่าย และใช้คู่สีขาว-ดำสุดคลาสสิก พาแฟนคลับกลับไปสัมผัสกับโลกแฟชั่นบุรุษฉบับหนุ่ม DG ในทศวรรษที่ 1990 ตั้งแต่ช่วงต้นยุคที่ทางแบรนด์แนะนำคอลเล็กชั่นเสื้อผ้าชายอย่างเป็นทางการ เรื่อยมาจนถึงช่วงปลายยุคที่เริ่มมีชิ้นเอลิเมนต์บ่งบอกว่าสองผู้ก่อตั้งกำลังสนุกกับประเด็นความลื่นไหลทางเพศ






Courtesy of Imaxtree
โดเมนิโกให้สัมภาษณ์ประเด็นน่าสนใจไว้ในปี 2021 – “Dolce&Gabbana และ D&G (ไลน์วัยรุ่นที่ปิดไปในปี 2012) คือแบรนด์ที่สะท้อนภาพแฟชั่นยุค ’90s ได้ดีที่สุด ช่วงเวลานั้นตอนที่เราจับผู้ชายมาแต่งตัว แต่งหน้า ทาเล็บ และนั่งด้วยกันดุจคู่รักเพื่อสะท้อนเรื่องความหลากหลาย (ภาพโฆษณาปี 1999) ก็มีปัญหามากมายจากกองกำกับและดูแลด้านโฆษณาของอิตาลี แต่ในปัจจุบันนี้ที่โลกเปิดกว้าง เรารู้สึกเป็นอิสระที่จะทำอย่างที่เคยทำ แต่ได้การยอมรับที่ต่างออกไป” – การนำเสนอเรื่องความลื่นไหลเมื่อราว 24 ปีที่แล้วกับในปัจจุบันนี้ได้ผลตอบรับที่ต่างกันเกือบสิ้นเชิงจริงๆ สเตย์รัดหน้าท้องที่ผู้คนส่วนใหญ่มีภาพจำว่าเอาไว้ใช้สำหรับผู้หญิง แต่ดันไปปรากฏบนรันเวย์โชว์คอลเล็กชั่นบุรุษฤดูกาล Fall/Winter 1999 ซึ่งเคยสร้างความฮือฮาในยุคที่โลกยังไม่เปิดกว้างเรื่องความหลากหลายมากนักได้กลับมาในคอลเล็กชั่นล่าสุด ควบคู่กับการใช้วัสดุหรูหราอย่างผ้าทูลและลูกไม้ที่โดยปกติแล้วนิยมนำไปตัดชุดสตรี แต่หนุ่ม DG ใส่ให้เห็นบนรันเวย์อยู่บ่อยๆ ในช่วงมิลเลนเนียม หรือค่อนปลายยุค ’90s ถึงต้น ‘2000s






แต่เหนืออื่นใดนั้น สิ่งที่ผมขอชื่นชม Dolce&Gabbana นอกจากการพยายามผลักดันเรื่อง Diversity มาตลอดช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา คือยังคงรักษามาตรฐานการตัดเย็บชุดเทเลอริ่งสำหรับบุรุษ ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญและสิ่งที่ทำให้เสื้อผ้าบุรุษของแฟชั่นเฮาส์หลังนี้ได้รับความนิยมมาตลอด 30 ปี โดยเฉพาะกับคอลเล็กชั่นล่าสุดนี้ ที่มีหลายชิ้นน่าลงทุนเพราะสวมใส่ได้แบบไร้กาลเวลา ไม่ผิดจากคีย์เวิร์ดที่ปรากฏบนโชว์โน้ต ทั้ง Essence of DG, Purity, Tailoring และ Handmade สะท้อนคุณค่าของงานตัดเย็บโดยทีมช่างฝีมือชั้นยอด และนี่คือสิ่งที่ทำให้ Dolce&Gabbana กลายเป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจของอิตาลีไปโดยปริยาย