ถอดรหัส ‘งานฝีมือ’ ที่แบรนด์แฟชั่นระดับโลกใช้สื่อสารถึง DNA ของตัวเอง

ในโลกของแฟชั่น งานฝีมือ (Craftsmanship) ไม่ใช่เพียงเครื่องมือในการสร้างสรรค์ หากแต่คือภาษาลับที่ใช้ส่งต่ออัตลักษณ์ของแบรนด์จากรุ่นสู่รุ่น ตั้งแต่เส้นด้ายไปจนถึงโลหะ ทุกองค์ประกอบล้วนถูกเลือกอย่างจงใจ เพื่อพูดถึงจิตวิญญาณของแบรนด์แบบไม่ต้องมีคำอธิบายใดๆ และต่อไปนี้คือ 5 เทคนิคงานฝีมือที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์แฟชั่นระดับโลก ซึ่งบอกเล่าทุกอย่างได้โดยไม่ต้องมีแม้แต่โลโก้

#1 ‘งานสาน’ ที่ถักทอความงามข้ามกาลเวลา

เสน่ห์ของเทคนิค ‘การสาน’ อยู่ที่ความสมบูรณ์แบบในความเรียบง่าย Bottega Veneta คือผู้ปฏิวัติการถักหนังแบบ Intrecciato ให้กลายเป็นลายเซ็นของแบรนด์ตั้งแต่ยุค ’60s หนังถูกตัดเป็นเส้นแล้วสานด้วยมืออย่างพิถีพิถันจนกลายเป็นผิวสัมผัสที่แน่นหนาและนุ่มนวลโดยไม่ต้องพึ่งโลโก้ใดๆ ทั้งสิ้น

ในอีกซีกหนึ่งของโลกแฟชั่น Dior ถ่ายทอดลาย ‘Cannage’ อันเป็นเอกลักษณ์ผ่านเทคนิคเย็บลายไขว้ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากโครงเก้าอี้นโปเลียน ซึ่ง Christian Dior ใช้ในโชว์แรกของเขาเมื่อปี 1947 กลายเป็นภาษาลายเส้นที่ปรากฏทั้งในกระเป๋า Lady Dior และองค์ประกอบดีไซน์ร่วมสมัยของแบรนด์

#2 ทุก ‘ฝีแปรง’ คือเอกลักษณ์ที่เผยตัวตนได้แม้ไร้โลโก้

ก่อนที่โลกจะรู้จักคำว่า Monogram Mania แบรนด์เครื่องหนังฝรั่งเศสอย่าง Goyard ได้ทำสิ่งนั้นมาก่อนกาล ผ่านลาย Y Print อันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งไม่ได้เกิดจากการพิมพ์ในโรงงาน แต่คือการเพ้นต์ด้วยมืออย่างละเอียดทุกจุด ทุกเส้นที่ประกอบกันเป็นตัวอักษร ‘Y’ ซึ่งย่อจากชื่อเดิม ‘Goyardine’ บ่งบอกถึงรากฐานของตระกูล Goyard ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการทำหีบเดินทางและงานฝีมือหนังในยุคศตวรรษที่ 19

หาก Goyard ใช้ฝีแปรงบรรจงเพ้นต์ลาย Y Print เพื่อสร้างรหัสลับแห่งความคลาสสิก Emilio Pucci กลับใช้พู่กันและสีสันในการรังสรรค์ลายพิมพ์เรขาคณิตที่โอบล้อมด้วยความโค้งอิสระราวภาพวาดสีน้ำ เทคนิคการเพ้นต์ของทั้งสองแบรนด์แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน ทุกเส้นและทุกสีคือการบอกเล่า DNA ของแบรนด์ที่ไม่อาจเลียนแบบได้

#3 เมื่อ ‘งานทอผ้าพื้นบ้าน’ กลายเป็นสัญลักษณ์ของความสง่างามปารีเซียน

ในยุคที่เสื้อผ้าผู้หญิงยังคงถูกจำกัดอยู่ในกรอบของความพริ้วไหวแบบโรแมนติก Gabrielle Chanel เลือกจะทำในสิ่งตรงกันข้าม ด้วยการหยิบ ‘Tweed’ ผ้าทอพื้นบ้านของสุภาพบุรุษสก็อตติช มานิยามใหม่ให้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความสง่างามในแบบปารีเซียง

ในห้องแล็บของชาเนล ผ้า Tweed ถูกผลิตขึ้นใหม่ในทุกซีซั่น ผ่านกระบวนการทอมือที่เพิ่มความนุ่ม สัมผัสเบา และความยืดหยุ่นของเส้นใย เพื่อให้เข้ากับร่างกายของผู้สวมใส่ในแบบ Couture ความไม่สมบูรณ์ของเส้นใยที่ถูกทอเข้าด้วยกันจึงกลายเป็นความสมบูรณ์ในความหมายของ Chanel

#4 ประกายเงางามของ ‘โลหะ’ ที่เคลื่อนไหวตามจังหวะร่างกาย

หากมีแบรนด์ไหนที่กล้าแหกทุกกฎของการตัดเย็บ Rabanne คือคำตอบ ด้วยการปฏิวัติความหรูหราให้กลายเป็นสิ่งเหนือความคาดหมายผ่าน ‘โลหะ’ แทนผ้า ตั้งแต่ปี 1966 นักออกแบบนามว่า Paco Rabanne ได้สร้างสรรค์เสื้อผ้าด้วยแผ่นโลหะวงกลมเล็กๆ เชื่อมต่อด้วยห่วงเหล็ก ซึ่งต้องอาศัยทั้งวิศวกรรมและฝีมือ

ในความแข็งแรงนั้นซ่อนความอ่อนโยนไว้ ด้วยการออกแบบให้ชิ้นส่วนเหล่านั้นพริ้วไหวได้ตามการเคลื่อนไหวของร่างกาย ประกายเงาของโลหะเมื่อกระทบแสงกลายเป็นงานแฟชั่นที่พูดถึงอนาคตแต่ยังคงรากเหง้าแบบหัตถศิลป์ไว้ทุกกระเบียดนิ้ว

#5 จาก ‘แม่พิมพ์’ สู่งานศิลป์ที่ถือได้ในมือ

เทคโนโลยีกับงานฝีมืออาจฟังดูเป็นขั้วตรงข้าม แต่ Coperni ทำให้ทั้งสองสิ่งเดินไปด้วยกันได้อย่างสง่างาม ในปี 2023 แบรนด์ฝรั่งเศสแห่งนี้เปิดตัว Swipe Bag รุ่นพิเศษที่ถูก ‘หล่อขึ้นจากแก้ว’ โดยความร่วมมือกับบริษัท Saint-Gobain ผู้เชี่ยวชาญด้านกระจกในอุตสาหกรรมวิศวกรรม

กระเป๋ารุ่นนี้ไม่ได้ถูกตัดเย็บ หากแต่เกิดจากการหล่อขึ้นรูปอย่างแม่นยำโดยใช้แม่พิมพ์ที่ออกแบบเฉพาะ น้ำหนักกว่า 2 กิโลกรัมและโปร่งใสจนเหมือนงานประติมากรรม ทุกชิ้นผลิตจำนวนจำกัดและแสดงให้เห็นว่า ‘งานฝีมือ’ ในยุคใหม่ ไม่จำเป็นต้องอยู่แค่ในกรอบของด้ายและเข็มอีกต่อไป

Similar Articles

More