“ความคลาสสิกที่ไม่เคยหลุดกรอบ – หนึ่งในไอคอนิกนิรันดร์แห่งโลกนาฬิกาสปอร์ต“
จากสนามแข่งสู่วงการแฟชั่น TAG Heuer Monaco คือนาฬิกาที่ไม่เคยหยุดเล่าเรื่องราว ทั้งด้วยดีไซน์แหวกขนบ กลไกบุกเบิก และการเป็นเรือนเวลาที่ดึงดูดสายตาของทั้งนักแข่ง นักแสดง ไปจนถึงคอลเลกเตอร์ทั่วโลก นี่คือ 5 ข้อควรรู้ของนาฬิกาที่ชื่อว่า Monaco จาก TAG Heuer
1. จุดเริ่มต้นที่เขย่าวงการนาฬิกา

TAG Heuer Monaco เปิดตัวครั้งแรกในวันที่ 3 มีนาคม ปี 1969 โดยมาพร้อมกับหนึ่งในกลไกปฏิวัติวงการอย่าง Calibre 11 กลไกโครโนกราฟอัตโนมัติรุ่นแรกๆ ของโลก นี่คือผลลัพธ์จากความร่วมมือของ 4 บริษัทนาฬิกาภายใต้โปรเจกต์ลับชื่อ Project 99 ที่ท้าทายแนวคิดเดิมๆ ของวงการ เพราะในเวลานั้น ‘นาฬิกาอัตโนมัติ’ และ ‘โครโนกราฟ’ ยังไม่เคยรวมอยู่ในเรือนเดียวกันมาก่อน
ดีไซน์ตัวเรือนทรงเหลี่ยมของ Monaco ไม่ได้เกิดขึ้นแค่เพราะอยากแตกต่าง แต่เพราะ TAG Heuer ต้องการสร้างสิ่ง ‘avant-garde’ เพื่อแสดงพลังของนวัตกรรมใหม่ มันจึงกลายเป็นไอคอนตั้งแต่วันแรกที่เปิดตัว
2. ความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับโลกความเร็ว

ชื่อของ TAG Heuer Monaco เชื่อมโยงกับบุรุษระดับตำนานอย่าง Steve McQueen ผู้สวม Monaco สี Navy Blue ในภาพยนตร์แข่งรถระดับคัลต์ Le Mans (1971) ภาพของ McQueen กับรถ Porsche 917 และนาฬิกา Monaco คือสิ่งที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นผู้ชายที่มีทั้งความดิบ เท่ และกล้าแหกขนบ
นอกจาก McQueen แล้ว TAG Heuer Monaco ยังเป็นที่รักของนักแข่ง F1, นักแสดง และผู้ชายหัวก้าวหน้าอีกมากมายทั่วโลก รวมถึงแบรนด์แอมบาสเดอร์อย่าง Ryan Gosling ที่ร่วมถ่ายทอดความลุ่มลึกของเรือนเวลานี้ในแคมเปญล่าสุด
TAG Heuer ไม่ได้แค่ “อินกับการแข่งรถ” แต่คือหนึ่งในแบรนด์นาฬิกาที่อยู่ในสนามแข่งมาตั้งแต่ต้นยุค 60s และ Monaco เองก็มีรากฐานที่ฝังแน่นในโลกของมอเตอร์สปอร์ต
ปัจจุบัน TAG Heuer คือ Official Watch Partner ของ Monaco Grand Prix สนามที่มีชื่อเดียวกับนาฬิกาและเป็นหนึ่งในสนาม F1 ที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงที่สุดในโลก ไม่ว่าจะเป็นเรือนวินเทจหรือเวอร์ชันล่าสุด TAG Heuer Monaco คือเครื่องยืนยันถึงความคลาสสิกที่พร้อมโลดแล่นไปข้างหน้า
3. การกลับมาของ ‘Dark Lord’ ที่ดุดันยิ่งกว่าเดิม

ในปี 1975 TAG Heuer เคยสร้างความฮือฮาด้วย Monaco เวอร์ชันเคลือบดำทั้งเรือนที่นักสะสมเรียกกันว่า “Dark Lord” ด้วยความลึกลับ ดุดัน และความหายากสุดขีดของรุ่นนี้ มันจึงกลายเป็นหนึ่งในเรือนเวลาระดับตำนานที่นักสะสมทั่วโลกต่างหมายปอง
การกลับมาในครั้งนี้ TAG Heuer รื้อฟื้นตำนานด้วย Monaco Special Edition เวอร์ชัน All-Black ที่สานต่อกลิ่นอายของ Dark Lord รุ่นดั้งเดิมอย่างสง่างาม ตัวเรือนขนาด 39 มม. ผลิตจากไทเทเนียมเคลือบ DLC สีดำด้านสุดโฉบเฉี่ยว ขับเคลื่อนด้วยกลไก Calibre TH20-00 ซึ่งเป็นกลไกอินเฮาส์รุ่นล่าสุดของแบรนด์ เรียกได้ว่านี่คือเรือนเวลาสำหรับผู้ชายที่ชอบความคลาสสิกแฝงพลังดิบในสไตล์โมเดิร์น
4. ดีไซน์ที่กล้าท้าทายเวลา

จากเรือนเหลี่ยมกรอบหนาในยุค ‘60s สู่เวอร์ชัน skeletonised สุดล้ำในปัจจุบัน Monaco เดินทางผ่านกาลเวลามาพร้อมวิวัฒนาการของดีไซน์ที่ไม่มีคำว่า “ซ้ำ”
สิ่งที่ยังอยู่ไม่เปลี่ยน คือรายละเอียดอันเป็นเอกลักษณ์ เข็มวินาทีเฉดสีโดดเด่น และหน้าปัดย่อทรงสี่เหลี่ยมมน ขณะที่วัสดุและเทคนิคการผลิตใหม่ๆ ทำให้แต่ละรุ่นของ Monaco มีคาแรกเตอร์เฉพาะตัวที่ชัดเจนในทุกยุค
5. คอลเล็กชั่น Monaco ยังคงเดินหน้าอย่างมีสไตล์

จากอดีตจนถึงปัจจุบัน TAG Heuer Monaco คือหนึ่งในเรือนเวลาที่นิยามคำว่า “ไอคอนิก” ได้อย่างชัดเจน ความโดดเด่นของดีไซน์ทรงเหลี่ยม กลไกอัตโนมัติแบบโมโนกราฟ และการตีความที่แหวกขนบตลอดหลายทศวรรษ ทำให้นาฬิการุ่นนี้ยังคงมีอิทธิพลต่อทั้งวงการนาฬิกาและวัฒนธรรมป๊อป
ไม่ว่าจะเป็นรุ่นคลาสสิกที่เคยปรากฏในยุค 70s หรือเวอร์ชันใหม่ที่มาพร้อมตัวเรือน DLC สีดำล้วน กลไก Calibre TH20-00 และสายหนังที่ออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน Monaco ยังคงเดินหน้าอย่างมั่นคงในฐานะเรือนเวลาที่บอกเล่าความเป็นตัวตนของผู้ชายที่ไม่ตามใคร
TAG Heuer Monaco ไม่ใช่นาฬิกาที่ทุกคนจะ “เข้าใจ” ตั้งแต่แรกเห็น แต่นั่นคือเสน่ห์ของมัน – ความแปลกใหม่ ความกล้าท้าทาย และความเป็นตัวของตัวเองที่ไม่เคยลดระดับลงเลย ไม่ว่าจะผ่านกาลเวลามาแล้วหลายทศวรรษ ที่สำคัญ นี่คือนาฬิกาที่มีประวัติศาสตร์และเรื่องราวเบื้องหลังอันล้ำค่าที่พร้อมให้ค้นหา
TAG Heuer Siam Paragon, Luxe Hall, M Fl, Tel. 02-118-2664
TAG Heuer CentralwOrld,1 Fl, Tel. 096-769-1586
TAG Heuer Mega Bangna,1 Fl, Tel. 096-769-1560
TAG Heuer Central Plaza Lardprao,1 Fl, Tel.080-951-9597
TAG Heuer Central Festival Chiangmai,1 Fl Tel. 064-145-2019