5 ข้อควรรู้ก่อนดู A Complete Unknown ภาพยนตร์ชีวประวัติ Bob Dylan ไอคอนยุค ’60s

เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเดินทางย้อนเวลาสู่ยุค ’60s ไปกับ A Complete Unknown: ไร้ตัวตน คนเปี่ยมฝัน ภาพยนตร์ชีวประวัติที่จะพาทุกคนดำดิ่งสู่โลกของ Bob Dylan (บ๊อบ ดีแลน) ศิลปินเพลงโฟล์คผู้ทรงอิทธิพล กับเรื่องราวการเดินทางบนเส้นทางดนตรี แรงบันดาลใจ และการสร้างตำนาน ที่ส่งผลต่อวัฒนธรรมและสังคม

ก่อนที่คุณจะก้าวเข้าสู่โลกแห่งเสียงเพลงและแฟชั่นอันเป็นเอกลักษณ์ เราขอพาคุณไปรู้จัก 5 เรื่องราวน่าสนใจที่จะทำให้อินกับภาพยนตร์เรื่องนี้มากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการทุ่มเทสุดตัวของ Timothée Chalamet (ทิโมธี ชาลาเมต์) เพื่อถ่ายทอดจิตวิญญาณของ Bob Dylan การย้อนรอยแฟชั่นสุดคูลยุค ’60s ผ่านสไตล์การแต่งตัวอันเป็นเอกลักษณ์ มาทำความรู้จักกับ Bob Dylan ให้มากขึ้น ก่อนไปพบกับเขาใน A Complete Unknown: ไร้ตัวตน คนเปี่ยมฝัน รับรองว่าคุณจะหลงใหลในเสน่ห์ของเขาอย่างแน่นอน!

1. Timothée Chalamet ทุ่มเทสุดชีวิตเพื่อสวมจิตวิญญาณ Bob Dylan

Timothée Chalamet ไม่ได้แค่ ‘รับบท’ Bob Dylan แต่เขา ‘กลายเป็น’ Bob Dylan ด้วยการฝึกฝนดนตรีอย่างหนักเป็นเวลากว่า 5 ปี จนสามารถเล่นกีตาร์ ฮาร์โมนิกา และร้องเพลง ทำให้การแสดงออกมาเป็นธรรมชาติ จากการดูวิดีโอการแสดง บทสัมภาษณ์ และศึกษาเนื้อเพลง เพื่อถ่ายทอดตัวตนของศิลปินผู้เป็นตำนานออกมาได้อย่างสมจริง

นอกจากการศึกษาด้วยตัวเองแล้ว Timothée Chalamet ยังได้ร่วมงานกับ Eric Vetro (เอริค เวโตร) วอยซ์โค้ชวัย 67 ปี ผู้เคยร่วมงานกับ Austin Butler (ออสติน บัตเลอร์) ในภาพยนตร์เรื่อง Elvis และ Ryan Gosling (ไรอัน กอสลิง) ในภาพยนตร์เรื่อง La La Land มาแล้ว โดย Eric Vetro กล่าวว่า “การจับแก่นของเสียง Bob Dylan นั้นซับซ้อนมาก เขามีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่ Timothée มีหูที่ดี เขาเรียนรู้ได้ไว และสามารถนำไปปรับใช้ในการแสดงได้อย่างยอดเยี่ยม ทุกคนจะต้องตกใจ เมื่อได้ยิน Timothée ร้องเพลง เพราะเสียงเหมือน Bob Dylan มาก”

ส่วนด้านการเล่นดนตรี Larry Saltzman (แลร์รี ซอลต์ซแมน) โค้ชสอนกีตาร์ชื่อดัง ผู้เคยเป็นมือกีต้าร์ในวงตอนออกทัวร์ของศิลปินโฟล์กสุดเก๋าอย่าง Simon & Garfunkel กล่าวว่า “Timothée มีพรสวรรค์ด้านดนตรี เขาสามารถเรียนรู้เพลงยากๆ ของ Dylan ได้ภายในเวลาไม่นาน และเข้าถึงจิตวิญญาณของ Bob ได้อย่างแท้จริง” ดวยความทุ่มเทขนาดนี้ทำให้ James Mangold (เจมส์ แมนโกลด์) มั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าเขาจะรับบทหนักการแสดงนี้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ “ผมไม่ต้องการให้ Timmy เลียนแบบ Bob Dylan แต่ผมต้องการให้เขาเป็น Bob Dylan ซึ่งเขาก็ทำออกมาได้เป็นอย่างดี” Mangold กล่าวชื่นชมความทุ่มเทในการแสดงของเขา

2. การแสดงสดเพื่ออรรถรสทางดนตรีที่ทุกคนสัมผัสได้

ภาพยนตร์เรื่อง A Complete Unknown ถ่ายทำฉากการแสดงสด (live performance) มากถึง 98% Timothée ต้องเล่นดนตรีและร้องเพลงสดต่อหน้าผู้ชมจริงๆ โดยไม่ใช้หูฟัง เพื่อให้ได้อารมณ์และความรู้สึกที่สมจริงที่สุด Tod A. Maitland (ท็อด เอ. เมตแลนด์) โปรดักชั่นมิกเซอร์ ซึ่งเคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 5 ครั้ง ที่สำคัญไปกว่านั้นเขายังเป็นผู้บุกเบิกและพัฒนากระบวนการบันทึกเสียงสดในกองถ่ายสำหรับภาพยนตร์ เผยว่า “ในตอนแรก เราตั้งใจจะใช้เพลงที่บันทึกไว้แล้ว แต่ Timothée ยืนยันที่จะเล่นสด เขาบอกว่า ‘ผมฝึกฝนมา 5 ปี เพื่อสิ่งนี้’ และก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยม เราทำหนังเรื่องนี้สด 98% และไม่ใช้หูฟัง ซึ่งถือเป็นเรื่องท้าทายมาก แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือความสมจริงที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนได้อยู่ในเหตุการณ์จริง”

3. มากกว่าชีวประวัติคือการสำรวจจิตวิญญาณของศิลปิน

A Complete Unknown ไม่ได้เป็นเพียงชีวประวัติที่เล่าเรื่องราวชีวิตของ Bob Dylan แบบเรียงตามลำดับเวลา แต่เป็นการ ‘เลือก’ ช่วงเวลาสำคัญ 4 ปี ในชีวิต ตั้งแต่ปี 1961-1965 ซึ่งเป็นช่วงที่เขาข้ามผ่านจากเด็กหนุ่มไร้ชื่อเสียง จากเมืองเล็กๆ ในมินนิโซตา สู่การเป็นศิลปินผู้ทรงอิทธิพลในนิวยอร์ก

เรื่องราวของภาพยนตร์เจาะลึกถึงความคิด ความรู้สึก และแรงบันดาลใจของ Bob ผ่านบทเพลง และความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็น Woody Guthrie (วู้ดดี้ กัทรี) แสดงโดย Scoot McNairy (สกู๊ต แมคนารี) ฮีโร่ที่เขาได้พบในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต, Pete Seeger (พีท ซีเกอร์) แสดงโดย Edward Norton (เอิดเวิร์ด นอร์ตัน) ศิลปินเพลงโฟล์คผู้เป็นเพื่อนคอยผลักดันให้ก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง, Joan Baez (โจน ไบซ์) แสดงโดย Monica Barbaro (โมนิกา บาร์บาโร) คนรักและเพื่อนร่วมอุดมการณ์ที่ร่วมเดินทางบนเส้นทางสายดนตรี และ Sylvie Russo (ซิลวี รุสโซ) แสดงโดย Elle Fanning (แอล แฟนนิง) คนรักอีกคนที่สะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งในใจระหว่างชีวิตส่วนตัวและชีวิตในฐานะศิลปิน

4. หวนรำลึกถึงยุค ’60s สัมผัสบรรยากาศ เสียงเพลง และแฟชั่น

ภาพยนตร์เรื่อง A Complete Unknown ถ่ายทอดบรรยากาศของนิวยอร์กในช่วงทศวรรษที่ 1960 ได้อย่างสมจริง ตั้งแต่ การตกแต่งฉาก เสื้อผ้า หน้าผม ไปจนถึงเสียงดนตรี ที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลากลับไป สู่ยุคที่สหรัฐอเมริกากำลังอยู่ในช่วงแห่งการนิยามตัวเองใหม่ เป็นช่วงที่ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม การเมือง และวัฒนธรรมเป็นอย่างมาก ขบวนการต่อต้านสงครามและเรียกร้องสิทธิพลเมืองกำลังเป็นกระแส ศิลปะกลายเป็นพื้นที่เปิดกว้างสำหรับการแสดงออก ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนจะเกิดขึ้นในย่านแมนฮัตตันตอนล่าง

ไม่ว่าจะเป็นการเบ่งบานของดนตรีแจ๊สยุคใหม่กับ Miles Davis (ไมล์ส เดวิส) การเปลี่ยนแปลงของวงการตลกกับ Lenny Bruce (เลนนี่ บรูซ) การปะทุของป๊อปอาร์ตและสิ่งที่ Andy Warhol (แอนดี้ วอร์ฮอล) สร้างสรรค์ขึ้นใต้ชายคา The Factory อันโด่งดัง และขบวนการดนตรีโฟล์กที่ได้รับอิทธิพลจากบทเพลงของ Woody Guthrie และ Pete Seeger ประจวบเหมาะกับการที่หนุ่มน้อย Bob Dylan เดินทางมาถึงพร้อมกีตาร์ในมือ ในเดือนมกราคมปี 1961

โปรดักชั่นดีไซเนอร์ François Audouy (ฟรองซัวส์ ออดูย) กล่าวว่า “เราพยายามสจำลองบรรยากาศของยุค ’60s ขึ้นมา โดยให้ความสำคัญกับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เช่น ป้ายโฆษณา รถยนต์ ร้านค้า และสิ่งของเครื่องใช้ในยุคนั้น เพื่อให้ผู้ชมสัมผัสความรู้สึกของยุคนั้นอย่างแท้จริง” และในด้านเครื่องแต่งกาย Arianne Phillips (อาเรียนน์ ฟิลลิปส์) ผู้รับตำแหน่งคอสตูมของเรื่องกล่าวว่า “เสื้อผ้าในภาพยนตร์ สะท้อนให้เห็นถึงวิวัฒนาการของ Bob Dylan จากเด็กหนุ่มบ้านนอกสู่การเป็นศิลปินผู้โด่งดัง เราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงของสไตล์การแต่งตัว ตั้งแต่เสื้อผ้าสไตล์ Woody Guthrie ไปจนถึงแจ็กเก็ตหนัง ที่กลายเป็นเอกลักษณ์ของ Bob Dylan ในเวลาต่อมา”

แฟชั่นในยุคนั้นสะท้อนวัฒนธรรมโบฮีเมียนอันมีชีวิตชีวาได้เป็นอย่างดี เสื้อผ้าสไตล์โฟล์กเน้นความเรียบง่าย ใส่สบาย ผลิตจากวัสดุจากธรรมชาติ เช่น ผ้าฝ้ายหรือผ้าลินิน เสื้อเชิ้ต เสื้อยืด เป็นไอเทมหลักที่มักจะนำมามิกซ์แอนด์แมทช์แจ็กเก็ตยีนส์ หรือแจ็กเก็ตหนัง เพิ่มความเท่ด้วยแว่นกันแดดตัวช่วยเสริมลุคให้ดูเท่และมีสไตล์ ส่วนกางเกงยีนส์ทรงเดฟเป็นไอเทมที่ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่วัยรุ่น เพราะเน้นรูปร่าง ทำให้ดูสูงเพรียว และคล่องตัว นอกจากนี้ฉากหลังไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศของร้านค้า บาร์ รถยนต์ ล้วนแต่ถูกจัดวางออกมาได้อย่างไร้ที่ติ

5. มากกว่าชีวประวัติแต่เป็นแรงบันดาลใจสู่คนรุ่นใหม่

ภาพยนตร์เรื่อง A Complete Unknown สะท้อนชีวิตของ Bob Dylan ในมุมมองที่แตกต่าง ไม่ใช่แค่ในฐานะตำนานทางด้านดนตรีและแฟชั่น แต่ในฐานะมนุษย์คนหนึ่งที่มีความฝัน ความกลัว ความรัก และความผิดหวัง เพราะเขาต้องต่อสู้กับความกดดันจากชื่อเสียง ความคาดหวังของสังคม และความขัดแย้งในใจของตัวเอง James Mangold (เจมส์ แมนโกล์ด) ผู้กำกับกล่าวว่า “ผมอยากให้ผู้ชมเห็นตัวตนที่แท้จริงในแบบที่เขาเป็น ทั้งด้านดีและไม่ดี ซึ่งเขาเป็นคนที่มีความซับซ้อนหลายบุคลิก และบางครั้งก็ขัดแย้งในตัวเอง แต่ทั้งหมดนั้นคือสิ่งที่ทำให้เขาเป็น Bob Dylan”

นอกจากการบอกเล่าเรื่องราวของศิลปินผู้โด่งดังแล้ว ผู้กำกับยังมุ่งหวังที่จะส่งต่อแรงบันดาลใจ ความกล้าที่จะแตกต่าง และการไล่ล่าความฝันให้กับคนรุ่นใหม่ ผ่านบทเพลงอันทรงพลังและเรื่องราวชีวิตของศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ เขาเป็นตัวอย่างของคนที่กล้าที่จะแตกต่าง กล้าที่จะแหกกฎ และกล้าที่จะแสดงออกถึงความเป็นตัวเอง เขาไม่เคยยอมแพ้ต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์ และมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์ผลงานเพลงที่สะท้อนถึงความคิด และความรู้สึกของตัวเอง

บทเพลงอย่าง Blowin’ in the Wind หรือ The Times They Are a-Changin และอีกหลายเพลง กลายเป็นสัญลักษณ์ของยุคสมัยและเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้คนทั่วโลก เพราะบทเพลงของ Bob Dylan เต็มไปด้วยพลัง ความหมาย และความจริงใจ จดบันทึกเรื่องราวสะท้อนประเด็นทางสังคม การเมือง และการชีวิต ซึ่งยังคงมีความร่วมสมัยจนถึงปัจจุบัน

A Complete Unknown: ไร้ตัวตน คนเปี่ยมฝัน ไม่เพียงแต่ทำให้เราได้รู้จัก Bob Dylan ในมุมมองใหม่ แต่ยังกระตุ้นให้เรากลับมาทบทวนถึงความหมายของดนตรี ศิลปะ และชีวิต นอกจากนี้ ยังทำให้ตระหนักถึงพลังแห่งความกล้าหาญที่จะเดินตามความฝัน และแสดงออกถึงตัวตนที่แท้จริง

Photo: Searchlight Pictures

Similar Articles

More