ผมไม่แปลกใจเลยที่เมื่อโชว์คอลเล็กชั่น Fall/Winter 2024 ของ Dolce&Gabbana จบลงแล้วบรรดาแฟนคลับ โดยเฉพาะกับรุ่นเดอะ พากันชื่นชมและหลงรัก ต่างแสดงความคิดเห็นในเชิงบวกผ่านโซเชียลมีเดียของตน เพราะฤดูกาลล่าสุดนี้สองคู่หูผู้ก่อตั้ง Domenico Dolce และ Stefano Gabbana พาย้อนกลับไปพบซิกเนเจอร์ลุคในช่วงปลายทศวรรษที่ 1990 ถึงต้น 2000 ยุคที่ชื่อของ Dolce&Gabbana ผงาดขึ้นเป็นแบรนด์เบอร์ต้นๆ ขวัญใจหนุ่มๆ ผู้รักแฟชั่นทั่วโลกกับชุดเทเลอร์สุดเนี๊ยบ คัตติ้งสลิม ใช้วัสดุมันวาวไม่ก็ผ้าลูกไม้เนื้อดีเพื่อให้เข้าคู่คอลเล็กชั่นฝั่งสาวๆ ชื่อคอลเล็กชั่น ‘Sleek’ จึงสามารถนิยามภาพรวมของผลงานทั้งหมดได้เป็นอย่างดี
‘สีดำ’ ที่สองคู่หูโปรดปรานถูกนำมาใช้เป็นสีหลักราว 80% ของคอลเล็กชั่นที่สลัดภาพลายพิมพ์สีจัดจ้านสไตล์ Sicily ออกไปโดยสิ้นเชิง แฟนคลับรุ่นใหม่อาจมีภาพชินตาว่า Dolce&Gabbana ต้องมาคู่กับลวดลายจัดจ้านเสมอ แต่จริงๆ แล้วคอลเล็กชั่นเลื่องชื่อในอดีตส่วนใหญ่นั้นเป็นการใช้สีดำเป็นหลัก นอกจากทำให้ดูเซ็กซี่ได้แล้วสีดำยังเป็นตัวแทนของความสุภาพ สุขุม และถ่อมตัว สอดคล้องกับคาแรคเตอร์ของเหล่าสุภาพบุรุษ DG ทั้ง 62 ลุคที่ปรากฏบนโชว์ครั้งนี้ ครอบคลุมตั้งแต่ลุคกลางวันอาทิ เสื้อกล้ามปักลายโลโก้ตรงหน้าอกที่เคยฮอตฮิตในอดีต เชิ้ตและแจ็กเกตแขนกุด แจ็กเกตเดนิม ยีนส์ฟอกสี ไปจนถึงลุคกลางคืนที่ดูหรูหราเหมาะกับงานเลี้ยงแสนโอ่อ่า ทั้งเชิ้ตลูกไม้ โค้ทโอเปร่า เบลเซอร์ปักเลื่อมวาววับ ชุดทักซิโด้ เสื้อแจ็กเก็ตและโค้ทขนสัตว์เทียม ทั้งสีเลียนแบบขนสัตว์ตามธรรมชาติ และพิมพ์ลายเสือดาว อีกหนึ่งลายซิกเนเจอร์ของแบรนด์ตั้งแต่ยุคแรกเริ่ม
โดยภาพรวมของโชว์แม้ดูเหมือนให้ความสำคัญกับลุคสำหรับกลางคืนมากกว่ากลางวัน แต่ผมเชื่อว่านั่นเป็น เพราะ Dolce&Gabbana กำลังจะขอกลับมาทวงบัลลังก์ของแบรนด์แฟชั่นที่ครองใจผู้ชายรักงานเทเลอร์ ด้วยการนำเสนอผลงานที่แสดงให้เห็นว่าเขาคือห้องเสื้อที่สันทัดในเรื่องนี้ และทำได้ดีไม่เป็นรองใคร ที่สำคัญยังเป็นการแสดงศักยภาพของทีมช่างผู้เชี่ยวชาญการรังสรรค์ชิ้นงานที่สะท้อนคุณค่าแห่งงานหัตถศิลป์ ซึ่งถือเป็นหัวใจหลักของแบรนด์แฟชั่นระดับลักซ์ชัวรี่ และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผลงานของ Dolce&Gabbana โดดเด่นและแตกต่างอย่างน่าชื่นชม และสร้างความประทับใจให้ตลอดระยะเวลายาวนานเกือบ 4 ทศวรรษ
