Photographer: Pathomporn Phueakphud
ในวันที่ดนตรีฮิปฮอปพัฒนาไปไกล และศิลปินอย่าง URBOYTJ ผ่านการทดลองแนวทางใหม่ ๆ มานับไม่ถ้วน เขากลับเลือก “ถอยหลัง” เพื่อไปสัมผัสความดิบและจริงของ Old School อีกครั้ง ผ่านซิงเกิลล่าสุดที่ร่วมงานกับ SARAN แร็ปเปอร์ที่รุ่นใหม่รัก และรุ่นพี่ต่างยอมรับ
“ยิ่งรู้ยิ่งโง่ (dumbass)” จึงไม่ได้เป็นเพียงงานเพลง แต่เป็นภาพสะท้อนตัวตนของผู้ชายวัย 33 คนหนึ่ง ที่กำลังเผชิญบททดสอบของการเติบโต พร้อมกับความคิดถึงเด็กชายที่ยังไม่ต้องเข้าใจโลกมากเท่าวันนี้
เราได้พูดคุยกับ TJ แบบหมดเปลือกถึง 9 ประเด็น ตั้งแต่แรงบันดาลใจ ความเจ็บของการโต เป็นเด็กแบบไหนในสายตาตัวเอง และงานโปรดิวซ์ที่ยังคง “โคตรเป็น TJ” อยู่เสมอ
1. การกลับมาในโทน Old School เมื่อความใหม่ถูกผสมกับความเก่าให้กลายเป็น ‘ปัจจุบัน’
TJ เริ่มต้นด้วยการเล่าว่า แม้เขาจะทำเพลงแนวร่วมสมัยมาตลอด แต่ก็มีความคิดอยากย้อนกลับไปจับฟีลแบบฮิปฮอปยุคเก่าอีกครั้ง “ช่วงหลังผมทำแต่เพลงที่เป็น New School หรือสมัยใหม่ ผมเลยอยากลองทำอะไรที่ผมไม่ได้ทำมานาน ลองกลับไปแร็ปแบบที่เคยเป็นแรงบันดาลใจสมัยเริ่มต้น”
เขาบอกว่าความสนุกอยู่ที่การ “ถอยหลังเพื่อไปข้างหน้า” ใช้ซาวด์เก่า ๆ แต่ตีความใหม่ในบริบทปี 2025 ให้มันร่วมสมัยในแบบของตัวเอง
2. เมื่อการเติบโตคือความจริงที่ ‘ยิ่งรู้ยิ่งโง่’
เมื่อถามถึงประสบการณ์ส่วนตัวที่ทำให้เขารู้สึกตามชื่อเพลง TJ หัวเราะเบา ๆ ก่อนตอบแบบจริงจังปนตลก “ตอนนี้ผมพึ่งสักมา ความเจ็บมันเยอะกว่าแต่ก่อนมาก ยิ่งโต Pain tolerance มันลดลงจริง ๆ นะครับ”
เขาอธิบายว่าความเจ็บนี้ไม่ได้หมายถึงแค่ร่างกาย แต่ยังรวมถึงอารมณ์และความไวต่อสิ่งรอบตัวด้วย “พอเราโตขึ้น เรา sensitive มากขึ้น ยิ่งรู้อะไรมาก ก็ยิ่งรู้ว่า…เราไม่รู้อะไรเลย น่าจะเป็นความรู้สึกแบบนั้นแหละครับ”
3. ภาพวัยเด็ก เด็กที่ว่ายน้ำกลางฝนและไม่ต้องคิดอะไรมาก
เมื่อขอให้เขานึกถึงโมเมนต์วัยเด็กที่หล่อหลอมเพลงนี้ TJ เล่าว่าภาพที่ชัดที่สุดคือช่วงที่เขาอยู่ต่างจังหวัดและชอบเล่นน้ำ “ผมชอบว่ายน้ำ เล่นน้ำฝน เล่นน้ำในสระ เล่นน้ำขังหน้าบ้าน ตอนนั้นแค่มีฝนตกก็มีความสุขแล้ว มันไม่ต้องคิดอะไรเลย”
ความสดและไร้กังวลแบบนั้นคืออารมณ์ที่เขาพยายามดึงกลับมาในเพลง “ยิ่งรู้ยิ่งโง่” อารมณ์ที่ผู้ใหญ่ส่วนใหญ่อยากกลับไปสัมผัสอีกครั้ง
4. ทำไมต้องเป็น SARAN คำตอบอยู่ที่มุมมองที่ ‘โตเกินอายุ’
TJ ยอมรับว่าเขาอยากร่วมงานกับ SARAN มานาน เพราะความสามารถในการเขียนและการมองโลกของอีกฝ่าย “แม้เขาจะยังเด็ก แต่เนื้อเพลงที่เขาเขียนมันโตมาก มีมุมมองแบบผู้ใหญ่ และมันตรงกับผมหลายอย่าง”
พอทั้งคู่คุยกันเรื่องเพลงที่กำลังฟังช่วงนั้น กลายเป็นว่าฟังแนวเดียวกันโดยบังเอิญ จึงเกิดเป็นจุดเริ่มต้นของการร่วมงานกันในที่สุด
5. เคมีที่เกิดขึ้นผ่านหน้าจอ และชัดเจนเมื่อประกอบร่างเพลง
แม้หลายคนจะคิดว่าศิลปินต้องเข้าสตูดิโอด้วยกัน แต่สำหรับเพลงนี้ ทั้งคู่ทำงานกันแทบทั้งหมดผ่านออนไลน์ “ผมเริ่มทำเพลง ส่งฮุกให้น้องเขาฟัง เขาก็เขียนมา แล้วเราก็ประกอบร่างกัน มันแทบไม่ต้องแก้อะไรเลย เพราะแต่ละคนรู้ว่าตัวเองต้องทำอะไร” จนกระทั่งวันถ่าย MV ซึ่งเป็นวันที่พวกเขาได้เจอกันจริง ๆ แบบเต็มวัน ทุกอย่างก็เข้าที่อย่างเป็นธรรมชาติ
6. นักโทษหมายเลข 33 สัญลักษณ์ของวัยที่เริ่มคิดถึงความไร้เดียงสา
ใน MV TJ รับบทเป็นนักโทษหมายเลข “33” ซึ่งเท่ากับอายุของเขา ณ ตอนนี้ “มันเป็นเลขของผม และเป็นเลขสำคัญของ SARAN ด้วย มันเหมือนเป็นสัญลักษณ์ของช่วงวัยที่เราเริ่มเหนื่อยกับการโต เริ่มอยากกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง”
เขาบอกว่าเคยคิดในวัยรุ่นว่าอยากเป็นผู้ใหญ่เร็ว ๆ แต่พอโตขึ้นจริงกลับคิดว่า “อยากกลับไปเล่นน้ำแบบเดิมอีก มันง่ายกว่านี้เยอะเลย”
7. ถ้าได้คุยกับตัวเองในวัยเด็ก หนึ่งประโยคที่จะบอกคืออะไร
TJ เงียบไปครู่หนึ่งก่อนตอบว่า “ผมคงบอกว่า ‘ใช้ชีวิตให้สนุก อย่าเพิ่งเครียด’ เพราะโตมามันเครียดกว่าที่คิดไว้เยอะ” และนั่นคือแก่นเดียวกับเพลง ความรู้สึกโหยหาความเบาของวัยเด็ก แต่ก็ต้องยอมรับความหนักในวันที่โตขึ้น
8. ความเป็น Real Artist และบทบาทโปรดิวเซอร์ในปี 2025
สำหรับนักดนตรีที่ต้องทำงานอย่างร่วมสมัยอยู่เสมอ TJ มองว่าความท้าทายใหญ่สุดคือโลกที่ไม่มี “แนวเพลงชัด ๆ” อีกต่อไป เขาบอกว่าไม่มีสูตรตายตัว ไม่มีทริกใด ๆ “ผมแค่ทำในสิ่งที่รู้สึกจริง ๆ แล้วปล่อยมันออกไป ถ้าคนฟังรู้สึกเหมือนกัน เขาก็จะไปกับเราเอง”
9. ฝากถึงทุกคนที่กำลังโต และกำลังเจ็บเหมือนในเพลง
“ลองนึกถึงความฝันตอนเด็กดูครับ ตอนนั้นเราอยากเป็นอะไร อยากทำอะไร” TJ พูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ “บางทีเราโตขึ้นแล้วอาจไม่ได้เป็นแบบที่เคยฝันไว้ แต่ถ้ายังมีโอกาส ยังทำได้ และไม่เดือดร้อนใคร ก็ทำมันเลยครับ”
เพราะบางทีการเติบโตไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ แค่ซื่อตรงกับตัวเอง ก็พอแล้ว