เปิดใจ ‘Johnny Depp’ ระหว่างมิตรภาพสุดลึกซึ้งกับเมซง Christian Dior

Words: Kanokporn Cherdchai / GAWDLAND  

Photo: Josh Olins

เรียกว่าการจะดึงตัว ‘Johnny Depp’ (จอห์นี เดปป์) มาพูดคุยทั้งที เราจะต้องมีประเด็นที่น่าสนใจมาพูดคุยกับนักแสดงระดับโลกคนนี้ เพื่อเจาะลึกมุมมองในการมองโลกของเขากัน ซึ่งวันนี้ ELLE MEN Thailand ก็หยิบเอาเรื่องราวเกี่ยวกับกลิ่นหอมและความสัมพันธ์กับเมซง Dior มาเป็นหัวข้อในการพูดคุยสุดเอ็กซ์คลูซีฟครั้งนี้ ว่าการร่วมงานกับแบรนด์ในฐานะพรีเซนต์เตอร์ของกลิ่นหอม Dior Sauvage ที่เขาได้รับตำแหน่งตั้งแต่ปี 2015 และการนำน้ำหอมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในกิจวัตรประจำวันนั้นจะเป็นอย่างไร

EM: คิดว่าความสัมพันธ์ของคุณกับ Dior ได้พัฒนาไปอย่างไรบ้างแล้วอะไรคือสิ่งที่คุณชื่นชอบในการทำงานกับ Dior?

JD: สำหรับผม มันกลายเป็นพันธมิตรแน่นแฟ้น ที่เกิดจากการทำงานร่วมกัน ผมได้ทำงานร่วมกับดิออร์มาระยะหนึ่งแล้ว และแน่นอนว่าเราทุกคนล้วนพัฒนาความสัมพันธ์กับผู้คนต่าง ๆ ซึ่งพวกเขาอยู่กับผมตลอดทุกวินาที นั่นจึงการันตีได้ว่า พวกเขาเชื่อใจผม เชื่อในตัวผม เพราะพวกเขาคือ… เพื่อน นี่คือดิออร์! แล้วผมอยากจะบอกว่า ดิออร์คือความแข็งแกร่ง มีคลาส กล้าหาญและอาจอง ดิออร์มีความหมายกับผมลึกซึ้งมากกว่าแค่คำว่า ‘Sauvage’ ครับ

EM: ครั้งแรกที่ได้กลิ่น Sauvage คุณรู้สึกอย่างไร?

JD: ครั้งแรกที่ได้ดมกลิ่น Sauvage ผมยังจำมันได้ดีครับ พวกเขานำตัวอย่างแรกมาในขวดเล็ก ๆ ผมตื่นเต้นมาก มันเหมือนกับการได้สัมผัสกลิ่นไวน์ที่ถูกบ่มมาอย่างดี คุณจะได้กลิ่นโน้ตที่หลากหลายและยากที่จะเดาออกในทีแรก สำหรับผมมันคือกลิ่นแมกไม้ที่เป็นกลิ่นหลัก กลิ่นนั้นอบอวลอยู่ในอากาศ แล้วสักพักกลิ่นอื่น ๆ ก็เริ่มปรากฏตามขึ้นมา ค่อย ๆ เผยตัวตนที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ Sauvage ออกมา 

EM: ตอนที่ฉีด Sauvage ครั้งแรก รู้สึกว่า นี่แหละใช่เลย! หรือเปล่า มันเป็นกลิ่นที่คุณชอบไหม?

JD: ใช่ ผมเองก็ลุ้นมาก แต่ขอบคุณที่โชคเข้าข้างครับที่ผมชอบกลิ่นนี้ ไม่เช่นนั้นคงท้อใจมาก ที่ต้องฉีดกลิ่นที่ไม่ชอบเป็นปี ๆ

EM: คุณคิดว่า Sauvage ประสบความสำเร็จในเรื่องอะไร?

JD: ประการแรกเลย ผมรู้สึกว่า Sauvage เป็นชื่อที่เหมาะสมกับน้ำหอมกลิ่นนี้มาก สำหรับผมเมื่อฉีดกลิ่นนี้ไป ประสาทสัมผัสทั้งหมดก็ถูกเปิดออกมา ทันใดนั้น ‘Sauvage’ ชื่อของกลิ่น ก็ผุดขึ้นมาในหัวของผม

EM: คุณใช้ Sauvage ทุกวันไหม?

JD: ใช่ครับ! Sauvage เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตวันประจำวันตอนแต่งตัวของผมไปแล้ว แน่นอนว่ามันเป็นกลิ่นที่ผมคุ้นเคย มากไปกว่านั้นมันคือเกียรติศักดิ์ ความยินดี และอภิสิทธิ์ของผม ที่ได้เป็นส่วนสำคัญของน้ำหอมกลิ่นนี้ ผมรู้สึกว่าผมได้เจอกับกลิ่นที่เป็นตัวตนจริง ๆ ของตัวเองครับ

EM: ปกติคุณมีวิธีใช้ผลิตภัณฑ์อย่างไรและเมื่อไร?

JD: แน่นอนครับว่ามันเป็นสิ่งที่ต้องใช้หลังอาบน้ำเสร็จ ผมชอบใช้โลชั่นหลังโกนหนวดเสมอครับ แต่ก่อนผมจะใช้ Aqua Velva ไม่ก็ Brut หรือ Old Spice ฯลฯ แต่ทุกวันนี้ผมตกหลุมรักกับโลชั่นหลังโกนหนวดตัวนี้ไปแล้วครับ (Sauvage After Shave Lotion) วิธีใช้ของผมคือ ทุกครั้งที่โกนหนวดเสร็จก็จะโปะโลชั่นลงไปบนใบหน้าครับ

EM: คุณค่าอะไรในจักรวาล Sauvage ที่คุณรู้สึกนำเสนอตัวเองมากที่สุด??

JD: ผมคิดว่า มันคือความธรรมดาสามัญของโลก สรรพสัตว์ และธรรมชาติครับ จริง ๆ แล้ว สิ่งที่สนุกที่สุดในกระบวนการสร้างภาพยนตร์คือการมีอยู่ของอะไรบางอย่างในบรรยากาศ คุณจะสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่ไม่อาจบรรยายได้ และรู้สึกว่ามันยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ผมมองว่ามันเป็นภาพในจินตนาการและความคิดที่น่าอัศจรรย์ใจ ซึ่งแสดงให้เห็นจิตวิญญาณหรือการมีอยู่ของตัวตนในปัจจุบันขณะ และด้วยธรรมชาติของจักรวาลนี้ที่เป็นสารตั้งต้น กับครั้งแรกของ Jean-Baptiste Mondino ในการสร้างภาพยนตร์โฆษณาแคมเปญนี้ ผมคิดว่าเขามีวิธีการนำเสนอกลิ่นน้ำหอมที่เจ๋งมาก

สำหรับผมมันคืออีกหนึ่งประสบการณ์การทำงานรูปแบบใหม่ ผมรู้สึกพึงพอใจในสิ่งที่เราสรรค์สร้างร่วมกันมากครับ ฌอง-บาติสต์ไม่ลังเลเลยที่จะทำในสิ่งที่เป็นนามธรรม เพราะบางครั้งคุณต้องกลัวที่จะเข้าไปเป็นสิ่งนั้นจริง ๆ เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวที่เป็นนามธรรม ด้วยความที่มันคือภาพในโลกจินตนาการ และสิ่งที่อยู่ลึกใต้จิตสำนึก แต่กลับเป็นสิ่งที่ผมเพลิดเพลินในกระบวนการทำงานคือเขามีความคิดที่ลุ่มลึกและผ่านกระบวนการคิดมาอย่างดี เปรียบได้กับอิสรภาพสำหรับผม และยังขึ้นอยู่กับเงิน ความถูกต้อง ในการถ่ายทำที่ไม่เป็นไปตามสูตร แต่เป็นไปตามความคิดและจินตนาการ

EM: กลิ่นหรือน้ำหอมมีส่วนช่วยให้คุณเข้าถึงตัวละครอย่างไรบ้าง?

JD: แน่นอนครับ ผมมีเพื่อนที่ช่วยทำน้ำหอมสำหรับตัวละครต่าง ๆ น่าจะ 10-12 ปีแล้วครับ และกลิ่นต่าง ๆ ก็ช่วยผมได้ดีมากเพราะแต่ละตัวละครก็จะมีกลิ่นเฉพาะของตัวเอง กลิ่นทำงานในฐานะตัวช่วยเปิดประสาทสัมผัสของตัวละครได้จริง ๆ คล้ายกับการเลือกกลิ่นน้ำหอมหรือโคโลญที่คุณแม่คุณเคยใช้ เพราะมันสามารถพาเรากลับไปสู่สัมผัสในความทรงจำและสถานที่แห่งนั้นได้ นึกออกใช่ไหมครับ คุณสามารถใช้กลิ่นน้ำหอมเพื่อหวนกลับไปสู่ช่วงเวลาในอดีต หรือเดินทางไปสู่สถานที่ใดสถานที่หนึ่ง สำหรับผมมันเหมือนการเดินทางย้อนอดีตด้วยวิธีที่ตรงไปตรงมาและเป็นวิทยาศาสตร์ที่สุด

EM: แล้วเป็นเหมือนกันกับเรื่องดนตรีไหม?

JD: ใช่ครับ! สำหรับผมดนตรีถือเป็นวิธีที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพที่สุดในการสร้างความรู้สึก ย้อนความคิด ในสถานการณ์ที่เคยประสบมา แล้วถ้าเรานำวิธีนี้มาใช้ คุณรู้ใช่ไหมว่าคุณสามารถย้อนเวลากลับไปสู่อดีตเมื่อ 30 ปีก่อนได้เลย ดนตรีจึงเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตของผมเสมอมาครับ ในบางครั้งดนตรีก็ทำให้หวนนึกถึงกีตาร์บลูที่ตั้งเด่นอย่างงดงาม ผมสัมผัสถึง Rock and Roll ได้ในทันที แต่ในเวลาเดียวกัน มันก็เป็น Bach และ Mozart เช่นกัน

EM: การปรุงน้ำหอม VS การทำเพลง?

JD: ตอนนั้นที่ผมได้ไปเจอกับผู้ผลิตกลิ่น Sauvage ผมประทับใจในตัวเขามากเลยครับ เขาทำให้ผมรู้สึก “ว้าว” มันเป็นงานที่ละเมียดละไม ประหนึ่งการแยกอะตอมออกมา พวกเขาเหมือนนักวิทยาศาสตร์ที่กำลังสร้างสรรค์สิ่งมหัศจจรย์ และผมเองก็ได้เรียนรู้อะไรหลาย ๆ อย่างจากพวกเขาครับ

EM: Sauvage เป็นเรื่องของพื้นที่โล่งกว้าง คุณชอบแนวคิดนั้นไหม แล้วสถานที่ใดที่คุณรู้สึกว่าเป็นตัวของตัวเองมากที่สุดในโลก?

JD: เป็นคำถามที่ดีมากครับ เพราะเห็นได้ชัดว่าชีวิตของผมนั้นแตกต่างจากคนอื่นนิดหน่อย ในแง่ที่ว่าผมปรารถนาที่จะได้ออกไปสู่โลกกว้างและสัมผัสกับสิ่งต่าง ๆ ดูสิ่งรอบตัว เช่นไปร้านหนังสือ… แต่เดี๋ยวนี้ผมเปลี่ยนไปแล้วครับ สิ่งที่ได้ทำร่วมกันกับ Dior, Jean-Baptiste Mondino และตัวผม มันเป็นตัวแทนของ ‘พื้นที่เปิดโล่ง’ และ ‘ความเป็นไปได้’ ทั้งหลายรอบตัวคุณ มันคือความรู้สึกสันโดษ ไม่ใช่ความโดดเดี่ยวเดียวดาย มันเป็นความสันโดษในแบบเซน (Zen) เล็ก ๆ ที่ผมรู้สึกได้ในภาพยนตร์

คุณอาจจะรู้สึกไม่เข้าใจเหตุผลเบื้องหลังบางสิ่ง แต่มันสมเหตุสมผลดีถ้าคุณแค่ยอมรับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันเกิดขึ้นไปแล้ว อย่างหมาป่าในเรื่อง สำหรับผมมันเหมือนเป็นเวทมนตร์ และที่ที่ผมรู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากที่สุดบนโลกใบนี้ และรู้สึกเป็นธรรมชาติมากที่สุด ผมคิดว่ามันคือบ้านของผมที่บาฮามาสครับ ด้วยความที่มันเป็นเกาะเลยไม่รู้สึกว่ามีใครคอยจ้องมอง เราทุกคนควรมีที่หลบภัย เป็นสถานที่ที่ปลอดภัยซึ่งคุณสามารถหลีกหนีจากการถูกตรวจสอบ ตัดสิน และความสนใจของผู้อื่น สถานที่ที่คุณสามารถหาที่นั่งบนชายหาด อ่านหนังสือ วาดภาพ ทำสมาธิ หรืออะไรก็ตาม นั่นคืออิสระสำหรับผมครับ มันคืออิสรภาพที่แท้จริง

EM: คุณรู้สึกอย่างไรกับมหาสมุทร ช่วยเล่าให้ฟังได้ไหม?

JD: ไอเดียที่ว่าด้วยการดำรงอยู่ไปเรื่อย ๆ เหมือนการเป็นอิสระในมหาสมุทร มีสายลมปะทะกับคุณ แสงแดดกระทบคุณ และระลอกคลื่นระยิบระยับบนผืนน้ำ ประกายเหล่านี้อยู่ในทุกที่… และมันช่วยชำระจิตใจเรา ผมคิดว่าสิ่งที่ผมมุ่งความสนใจมากที่สุดคือวิถีชีวิตขั้นพื้นฐานอันเรียบง่าย ผมไม่มีวิถีชีวิตที่เศร้าหมอง ใช่แล้ว เมื่ออยู่บนเกาะทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นความเรียบง่ายอย่างแท้จริงสำหรับผม ผมไม่ได้อยู่ในโรงแรมหรูหรา มันไม่ใช่ Four Seasons หรืออะไรเลย แต่มันก็แค่เป็นอย่างที่มันเป็น บ้านบนเกาะที่แสนเรียบง่าย ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่ มีเพียงแค่ความธรรมดาสามัญ แต่กลับพิเศษไม่เหมือนที่ไหนเลย

EM: Sauvage ยังถูกอธิบายถึงผู้ชายที่อยู่เหนือกาลเวลา ความเป็นชายที่ไร้กาลเวลา แล้วนิยามความเป็นชายของคุณในทุกวันนี้คืออะไร?

JD: ทุกคนล้วนเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ผมเข้าใจธรรมชาติในเรื่องนี้นะ แต่ผมรู้สึกดีกับตัวเองเสมอในสิ่งผมเลือกและสิ่งที่ผมยึดมั่น ซึ่งอาชีพที่ผมทำอยู่ค่อนข้างแข่งขันกันสูง ทว่าตัวผมนั้นไม่เคยรู้สึกว่าต้องลงสนามสู้กับใคร ผมเหนื่อยมากกับการต้องมาพะวงว่าใครชนะรางวัลนั้น ใครได้นี่ คนนี้เก่งกว่าคนนั้น คนนั้นแย่กว่าคนนี้ ใครรวยกว่าใคร และทั้งหมดทั้งปวงนี้ผมไม่ได้สนใจเรื่องอย่างว่าเลย และถ้าคุณเป็นคนสนใจเรื่องพวกนี้ ผมคิดว่ามันสวนทางกับสิ่งที่ในฐานะนักแสดงควรจะเป็น

เพราะนักแสดงต้องทำให้ดีที่สุดในบทบาทที่ได้รับมอบหมายมา มีสติกับสิ่งรอบตัวให้มาก เวลาที่ผมเล่นหนังจบ ผมจะบอกลาตัวละครในเรื่องเสมอ มันไม่ใช่การดูหมิ่นผู้สร้างภาพยนตร์นะ ไม่ใช่เลย แต่แค่มันจะดีกว่ามากที่ผมไม่ต้องมารับรู้ว่า “ใครเจ๋ง ใครไม่เจ๋ง ใครห่วย ใครไม่ห่วย” ผมชอบภาวะที่ไม่ต้องรับรู้อะไรทั้งนั้น (หัวเราะ) ผมแค่ไม่อยากรับรู้ในเรื่องที่ผมไม่ได้อยากรู้ ผมเองรู้สึกโชคดีมากที่ได้มีโอกาสเล่นเป็นตัวละครหลายตัวในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตัวละครและบทภาพยนตร์ที่ผมรู้สึกว่ามันมีอะไรบางอย่าง และผมก็รู้ว่าผมต้องเพิ่มอะไรเข้าไปในตัวละครเหล่านั้น

EM: อารมณ์ความรู้สึกของคุณมาจากไหน จากใจ จากกลิ่น จากเสียง หรือจากอะไร หรือทั้งหมดรวมกัน?

JD: บางครั้งมันก็เป็นเช่นนั้น แต่บ่อยครั้งในชีวิตทั่วไป เวลาที่ดอกไม้ผลิบาน คุณจะได้กลิ่นหอม กลิ่นที่ลอยมากับลมซึ่งพัดโชยมาปะทะใบหน้าแค่ชั่วคราว และกลิ่นนั้นก็ได้พาเรากลับไปสู่อดีตอีกครั้ง คุณสามารถสำรวจช่วงเวลาอดีตในชีวิตของคุณได้จากกลิ่นของสิ่งต่าง ๆ ใช่ครับ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับผมตลอดเวลา หรือเวลาที่ใครเดินผ่านเราแล้วเป็นกลิ่นโลชั่นหลังโกนหนวดของพ่อเรา เราก็จะอึ้งแบบ “ว้าว! โอ้พระเจ้า!”

EM: คุณมี beauty routine ไหม?

JD: ผมไม่มี ‘beauty routine’ จริง ๆ จัง ๆ (หัวเราะ) แต่เมื่อคุณโตขึ้นและพอจะรู้อะไรบ้าง คุณจะเข้าใจกลไกการทำงานของสิ่งต่าง ๆ มันเหมือนกับว่าคุณควรดูแลร่างกายของคุณ อย่างน้อยก็เหมือนที่คุณดูแลรถของคุณแหละครับ (หัวเราะ) ช่วยให้เกียรติภาระหน้าที่กิจวัตรดูแลตัวเองนี้ด้วย!

EM: คุณช่วยเล่าถึงโปรเจกต์ของคุณที่กำลังจะมาได้ไหม ไม่ก็ช่วยพูดถึงบทบาทการเป็นผู้กำกับของคุณ?

JD: ผมเคยผ่านงานกำกับภาพยนตร์มาก่อน แต่ประสบการณ์มันก็แตกต่างกันไปครับ ที่ผมเคยทำมันเป็นภาพยนตร์ที่หดหู่มาก และความตลกคือผมเขียนบทกับพี่ชายของผม และผมเองก็ต้องไปแสดงด้วย เพราะนั่นเป็นวิธีเดียวที่จะได้เงินมาทำทุนสร้าง และนี่เป็นสิ่งที่ผมไม่อยากจะแนะนำให้ทำตามเลย หลังจากภาพยนตร์เรื่องนั้น ผมก็ไม่เคยได้มีโอกาสกำกับหนังอีกเลย ซึ่งผมรู้สึกเป็นคนทึ่มมาก ๆ ส่วนโปรเจกต์ใหม่นี้ Modi หรือ Al Pacino ตอนที่เราทำ Donnie Brasco ด้วยกัน เราก็สนิทกันมาก จนถึงทุกวันนี้

ย้อนไปตอนนั้นเขามีโปรเจกต์ที่เขาได้กำกับ สมัยเนบราสกา เราก็เคยคุยกันถึงเรื่องนี้ จากนั้นทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ไม่นานมานี้ ประมาณหนึ่งปีครึ่งที่แล้ว AI โทรมาและเพิ่งพูดว่า: “เฮ้ จอห์น นายยังจำ Modigliani ได้ไหม? นายรู้ไหมว่าฉันคิดอะไรอยู่? ใช่ ฉันอยากให้นายกำกับมัน เดี๋ยวฉันจะช่วยนายเอง!” และผมก็ตอบไปว่า “เยี่ยมเลย ที่ไม่ต้องไปแสดงในเรื่องเอง… ถ้าไม่ต้องแสดงอยู่ในนั้น ทำแน่นอน!” สิ่งที่ผมต้องทำคือแค่มานั่งในห้องตัดแล้วดูว่าซีนไหนหรือฉากไหนที่นักแสดงสามารถถ่ายทอดภาพในหัวของผมไปถึงคนดูได้ มันง่ายกว่ามากที่คุณไม่ต้องมานั่งมองตัวเองบนจอ นั่นล่ะครับ ผมตื่นเต้นมาก และมั่นใจว่ามันจะเป็นหนังที่สนุกอย่างแน่นอน

EM: คุณหลงใหลคลั่งไคล้ไหนสิ่งใด?

JD: ตั้งแต่ผมยังเด็ก แค่กระดาษกับดินสอก็พอให้ผมหลีกหนีจากโลกแห่งความเป็นจริงได้แล้ว และผมปิดท้ายผลงานด้วยการลงสีเทียน จริง ๆ ผมเป็นคนที่ชอบวาดรูปมากครับ ชอบจนมันสร้างปัญหาให้ผม ตอนเรียนผมมักจะโดนครูดุ ช่วงเกรด1-3 โดนบ่นตลอดเลยครับ เพราะมัวแต่วาดรูป วาดแฟรงเกนสไตน์ แดรกคิวลา มัมมี่ และมนุษย์หมาป่า ไล่ไปจนถึงสิ่งที่มืดมนอย่างน่าพิศวง เช่น สัตว์ประหลาดในจักรวาลอันไกลโพ้น ดังนั้นการวาดภาพเลยเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผมไปแล้ว ผมเริ่มวาดภาพมานานมากแล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าจะจัดแสดงแต่อย่างใดนะครับ มันเป็นเหมือนงานอดิเรกที่ช่วยให้สมองไม่ฟุ้งซ่าน แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลยจากที่ทำ ๆ มา แต่มันก็เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว

Similar Articles

More