เรารู้จัก ‘เอม ภูมิภัทร’ ผ่านอินสตาแกรม เนื่องจากเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มอวดโพรไฟล์เอมให้เราดู เขาเป็นนักแสดงที่กำลังเป็นกระแสและคนชมกันไม่ขาดปากว่าเล่นได้เข้าถึงบทบาทตัวละครได้อย่างลึกซึ้งจนคนดูอินตาม เอมเป็นที่รู้จักจากตัวละครหัวหน้าพี่ว้ากในซีรีส์เรื่อง เด็กใหม่ ซีซัน 2 (Girl From Nowhere Season 2) สำหรับผลงานล่าสุด เขารับบทร้อยเอกทัตเทพ ใน ขุนพันธ์ 3, ดร.อนันต์ ใน แสงกระสือ 2 และ อู๋ ใน HUNGER คนหิวเกมกระหาย ได้โอกาสสัมภาษณ์เขาคราวนี้ ขอเข้าถึงตัวตนของเขาให้ลึกขึ้นอีกหน่อยก็แล้วกัน
เปิดบทสนทนาด้วยการคุยกันเรื่อง AI ที่สามารถทำอาชีพนักเขียนแทนมนุษย์ได้แล้ว “ผมลองให้ AI คิดค็อกเทลสูตรพระพุทธเจ้า มันก็คิดชื่อค็อกเทลให้ มีส่วนผสมอะไรบ้าง ที่มาที่ไปของค็อกเทลสูตรนี้ AI คิดให้เสร็จสรรพทั้งหมดภายใน 5 วินาที ผมนี่อึ้งเลยครับ แล้วเขียนได้ดีด้วย มันฉลาดมากครับ ฉลาดเกินมนุษย์ไปแล้ว มันมีประโยชน์กับงานแสดงมากๆ เวลาที่ต้องหาเรฟเฟอเรนซ์ตัวละคร ผมก็จะพิมพ์เข้าไปว่า ‘หาตัวละครแบบ วิลเลียม เช็คสเปียร์’ คาแรกเตอร์ประมาณไหน มี Requirement อะไรบ้าง มันก็จะหามาให้ 4-5 ตัวละครเลยครับ เว็บนี้เลย https://openai.com ตอนนี้โลกเราไปไกลจริงๆ”

เข้าวงการการแสดงมาได้อย่างไร?
ผมเรียนจบกราฟิกดีไซน์ที่สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง คือตอนเรียนส่วนใหญ่ผมจะชอบไปขลุกอยู่กับเพื่อนที่เรียนฟิล์มกับโฟโต้ ตอนนั้นยังไม่รู้ตัวเองว่าชอบอะไร พวกมันก็พาผมไปออกกอง อยู่เบื้องหน้าแสดงหนังบ้าง บางทีก็ไปช่วยเบื้องหลัง วิ่งงานผู้ช่วยบ้าง ทำ Lighting บ้าง ช่วงหลังก็จะมีไปเล่นธีสิสให้เพื่อนของเพื่อนที่ศิลปากรฯ กับ มศว. จากนั้นก็มีผู้กำกับพี่โรส–พวงสร้อย อักษรสว่าง มาชวนผมไปแคสติ้งหนังยาวเรื่องแรกของพี่เขาชื่อ ‘นคร-สวรรค์’ ซึ่งเป็นหนังที่เล่าเรื่องชีวิตของพี่โรสเอง ซึ่งเรื่องนี้ได้ไปฉายในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติปูซาน Busan international Film Festival 2018 ด้วยครับ
จริงๆ ผมเป็นคนชอบดูหนังตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว คือเหมือนเราไม่ได้กล้าหาญพอที่จะยอมรับว่าเราอยากเล่นภาพยนตร์เราก็เลยลองทำอย่างอื่นไปก่อน ซึ่งตอนเรียนปี 2-3 ผมเคยอยากทำสื่อสิ่งพิมพ์ ผมชอบทำหนังสือมาก ชอบจับกระดาษ ชอบกลิ่นของกระดาษ จริงๆ แล้วผมเป็นคนชอบเขียนมากครับ เคย Publish งานกับเพื่อนตอนเรียน ตอนนี้ผมก็ยังเขียนงานอยู่แต่ยังไม่ได้ตีพิมพ์ออกไปสักที คือเวลาที่ผมไม่ไหวกับชีวิตแล้วผมจะกลับไปหางานเขียนทุกครั้ง ส่วนใหญ่จะเขียนเป็นความเรียง บางทีก็เป็นเรื่องสั้น บางทีก็เป็นบทกวี มันเหมือนผมได้บำบัดใจผ่านตัวอักษร ผมไม่เคยทิ้งงานเขียนเลยและหาจังหวะตีพิมพ์อยู่ แต่แค่มันยังไม่ถึงเวลาที่จะกระโจนเข้าไปจับมัน เพราะตอนนี้ติดงานแสดงอยู่ครับ เลยอยากทำตรงนี้ให้ดีที่สุดก่อน
เราได้ยินฟีดแบ็คจากผู้ชมว่าเอมเล่นเป็นตัวละครแบบตีบทแตกเลย ทั้งที่ไม่ได้เรียนจบการแสดงมา มีการเตรียมตัวหรือเทคนิคอะไรหรือเปล่า?
“อืม…ผมจะตอบยังไงดี เคยเห็นไหมครับ บางคนทำกับข้าวอร่อยมากๆ ซึ่งเขาไม่เคยเรียนทำอาหารมาเลย มันมีคนแบบนี้อยู่ในโลกนะครับ ผมเลยรู้สึกว่าการเรียนหรือการ Achieve Skills จริงๆ แล้วการเรียนรู้ของคนไม่จำเป็นต้องผ่าน Academic หรือการ Achieve Skills คำว่าพรสวรรค์ สำหรับผมมันมีอยู่จริงครับ คือผมว่าทางเลือกของคนไม่จำเป็นต้องเรียนรู้อยู่ในโรงเรียนเสมอไป เช่นตอนนี้เรามีอินเทอร์เน็ตเราสามารถเข้าถึงข้อมูลและความรู้ได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึง สมมุติผมอยากจะหลอมพลาสติกขึ้นมาผมก็เสิร์ชใน YouTube มันก็มี Tutorial ขึ้นมาสอนเรา คือเราก็ต้องฝึกฝนตัวเองด้วย ทุกทักษะต้องฝึกฝนและทำซ้ำมันถึงจะพัฒนาต่อ ผมเป็นคนหนึ่งที่อยากให้ทุกคนบนโลกได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก และสามารถเลี้ยงตัวเองจากสิ่งที่เรารักได้ด้วย ถ้าเป็นแบบนี้โลกเราจะน่าอยู่มากครับ ฉะนั้นการเจอตัวเองตั้งแต่เนิ่นๆ มันสำคัญมาก ซึ่งคนที่เจอตัวเองเร็วผมถือว่าโชคดีมากๆ น่าอิจฉาเลยละครับ

แสดงว่าเจอตัวเองแล้วหรือเปล่า?
ผมก็ไม่มั่นใจเหมือนกันครับ แต่ถ้าถามว่าชอบการแสดงไหมผมก็โอเคกับมันนะ ผมรักงานนี้นะ แต่ถ้าถามว่าพรุ่งนี้ยังจะชอบการแสดงอยู่ไหม ผมตอบได้เลยว่าผมก็ยังไม่รู้ ต่อไปผมอาจจะอยากเป็นนักตะกร้อทีมชาติก็ได้ ความสนใจของเรามันจะเปลี่ยนไปตลอดเวลา คนเราเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ทุกวัน อย่างเมื่อก่อนผมเคยชอบถ่ายรูปมากๆ แต่ทุกวันนี้ผมไม่พกกล้องเลย และผมก็ไม่ได้ถ่ายรูปอะไรเลยเพราะรู้สึกว่าไม่ได้อินกับมันอีกแล้ว คือทุกครั้งที่หยิบกล้องขึ้นมาเรารู้สึกเลยว่าเราไม่ซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเอง อย่างรูปถ่ายที่สำคัญสำหรับผมในตอนนี้คือใบเสร็จจากการชำระเงินซื้อของด้วย QR Code เพื่อให้แม่ค้ารู้ว่าโอนแล้วนะ เท่านั้นเลยครับ
มีดาราฮอลลีวูดหลายคนที่เมื่อปิดกล้องแล้ว ก็จะยังสวมบทเป็นตัวละครนั้นๆ อยู่ ประมาณว่าไม่สามารถปิดประตูอารมณ์จากตัวละครนั้นๆ ได้ เอมเป็นแบบนั้นไหม และมีวิธีปิดประตูอารมณ์อย่างไร?
ผมว่ามันเป็นความเคยชินมากกว่า คล้ายๆ กับ Muscle Memory และยังคงตกค้างทิ้งร่องรอยอยู่ในร่างกายเรา คือสุดท้ายแล้วตัวละครนั้นๆ ก็แค่ยืมร่างกายเราไปใช้ แม้ว่ามันกลับมาเป็นเราแล้ว แต่บางจังหวะ การเดิน การหัน การเอื้อมหยิบของ มันยังเป็นกล้ามเนื้อของเค้าอยู่ ผมว่าเป็นเรื่องปกติครับ แต่จิตใจเราไม่ใช่คนคนนั้นแล้ว สุดท้ายมันก็จะค่อยๆ ซาไปเอง มันยังคงตกค้างก็จริงแต่มันคงจะไม่ตกค้างตลอดไป ซึ่งส่วนใหญ่ผมจะเป็นกับละครเวทีเพราะ Period มันยาวมาก เล่นครั้งละประมาณชั่วโมงครึ่ง และต้องเล่นละครตัวนี้เป็นเดือนๆ คือตัวละครในละครเวทีเป็นตัวละครที่ผมผูกพันมากเพราะเราอยู่กับเขานานเหลือเกิน
มีรุ่นพี่คนหนึ่งบอกผมว่า ‘ตามความเชื่อของละครเวที ตัวละครจะไม่เคยหายไปไหน มันจะยังอยู่กับเราเสมอ’ ยิ่งเวลากลับไปอยู่ในสถานที่ที่เราเคยเพอร์ฟอร์ม มันเป็นเรื่องปกติที่เราจะระลึกถึงสิ่งนั้น ผมก็จะได้ยินเสียงตัวละครที่ผมเคยเล่นแล้วก็จะนึกขึ้นมาว่าป่านนี้มันทำอะไรอยู่ว่ะ แต่ผมไม่ค่อยมีปัญหาในเรื่องการปิดประตูอารมณ์นะครับ พอกลับมาบ้านก็ย้วยแล้ว สลบเหมือดครับ เพราะเหนื่อย (หัวเราะ)

ระหว่างภาพยนตร์อินดี้โปรดักชันเล็กๆ กับ ภาพยนตร์ Blockbuster ชอบสเกลไหนที่สุด และสองอย่างนี้แตกต่างกันอย่างไร?
ภาพยนตร์ Blockbuster ก็เป็นอินดี้ได้นะครับ ผมรู้สึกว่าภาพยนตร์อินดี้ไม่ได้วัดกันที่เรื่องของบัดเจ็ท ผมว่ามันแตกต่างกันตรงที่อิสระของคนทำ หนังที่ไม่มีสตูดิโอหรือไม่มีค่ายทุกอย่างจะขึ้นอยู่กับผู้กำกับ ซึ่งมันจะมีการเจาะลึกประเด็นบางอย่างได้มากกว่าหนังสตูดิโอที่มีนายทุน มีช้อยส์อื่นที่มันเป็นช้อยส์ทางการตลาด เช่น Mindset ของนักลงทุน ส่วนแบ่งตลาด ซึ่งหนังอินดี้ที่ลงทุนเยอะมากๆ ก็มีเหมือนกัน ถ้าถามว่าผมชอบสเกลแบบไหน ผมชอบกองถ่ายสเกลกลางๆ ไปจนถึงค่อนข้างเล็ก เพราะผมรู้สึกว่ามันมีอิสระภาพในการเคลื่อนไหวมากกว่า มันมีพื้นที่ให้เราได้ Add-On ไอเดียในระหว่างการทำงานได้มากกว่าครับ
อยากเห็นอะไรในวงการภาพยนตร์บ้านเรา?
ผมอยากเล่น Musical มาก เมืองไทยไม่มีภาพยนตร์ Musical มานานมากแล้ว จำเรื่องล่าสุดไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเรื่องอะไร อยากให้ผลิตกันครับ และฝากผู้กำกับพาผมไปอยู่ใน Musical นั้นด้วย (ยิ้มมีความหวัง)